16 ก.ค.57 จากกรณีที่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ร่วม และตั้งคณะกรรมการอิสระ 6 คน เพื่อสอบสวนกรณีข้อกล่าวหาสื่อมวลชนรับเงินบริษัทเอกชน เพื่อปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพ โดยอ้างว่าเป็นของฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ทำธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ที่มีเนื้อหาสำคัญที่ส่งผลประทบต่อความเชื่อถือของสื่อทั้งระบบ
ทั้งนี้ คณะกรรมการอิสระ 6 คน ประกอบด้วย นายกล้าณรงค์ จันทิก อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานคณะกรรมการฯ , นายสัก กอแสงเรือง กรรมการ , ศ.พิเศษ สิทธิโชค ศรีเจริญ กรรมการ , รศ.ดร.ดรุณี หิรัญรักษ์ กรรมการ , รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก กรรมการ และ นายเจษฎา อนุจารี กรรมการ
ด้าน นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวยืนยันว่า คณะกรรมการอิสระชุดที่มีนายกล้านรงค์ เป็นประธาน ที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีปรากฎเอกสารลับฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัทยักษ์ใหญ่ ระบุการจ่ายเงินให้กับสื่อมวลชน 19 ราย มีความเชื่อถือและมีศักยภาพในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้อย่างแน่นอน
"กรรมการอิสระชุดนี้ เป็นกรรมการที่อิสระอย่างแท้จริง ผมพูดกับท่านทั้งหลายว่า เราก็ทำให้ละเอียดรอบคอบที่สุด ใครผิดใครถูกก็ว่ากันไปตามนั้น ผู้ถูกกล่าวหาหรือกรณีที่มีการพาดพิงใคร ผมว่ากรรมการคงต้องเชิญมาอยู่แล้ว ผมยืนยันว่ากรรมการเหล่านี้อิสระอย่างแท้จริง เพียงแต่ด้วยภารกิจ หน้าที่ ก็ต้องทำให้รัดกุมที่สุด"
นายจักร์กฤษ กล่าวต่อไปว่า การรับเงินที่บอกว่าเป็นการสนับสนุนเฉพาะรายบุคคล ในแง่หลักการมันผิดจริยธรรมอยู่แล้ว ถ้าปรากฏว่าจ่ายเงินจริงในลักษณะนี้ก็เป็นการผิดจริยธรรม และจะต้องแถลงหรือสรุปข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาว่ามีสื่อรายใดบ้าง
"ต้องเข้าใจว่าเราไม่ใช่ศาล ไม่ใช่ผู้พิพากษาที่จะไปตัดสินใคร แต่หากมีข้อเท็จจริงปรากฏเราก็ต้องแถลงไปตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวน แต่การจะสรุปว่าถูก-ผิด อย่างไร ก็ต้องเป็นการพิจารณาอย่างรอบคอบ ถึงตอนนั้นคงต้องหารือกับสภาการหนังสือพิมพ์ด้วย ถ้าปรากฏชัดเจนว่ามีการจ่ายจริงก็ปรากฏชัดเจนว่าเป็นการผิดจริยธรรม เราก็ต้องแถลงข่าวว่ามีใครบ้าง" นายจักร์กฤษ ระบุ
เมื่อถามว่า การสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คิดว่าจะะเผชิญกับแรงเสียดทานหรือไม่ เมื่อต้องตรวจสอบสื่อด้วยกัน นายจักร์กฤษ ตอบว่า คือเรื่องนี้การที่จะปกป้อง ป้องกันคำครหาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ เราก็ต้องทำใจยอมรับในความเห็นหลากหลายของสังคม แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือเราต้องพยายามให้ถึงที่สุด
"ผมให้กรรมการชุดนี้ มีความเป็นอิสระ ปราศจากจากการแทรกแซงทั้งจากภายนอก ทั้งกับกรรมการด้วยกันเอง หรือจากบุคคลภายนอกไม่ว่าฝ่ายไหน ท่านเหล่านี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสื่อเลย เป็นกรรมการอิสระ เราก็ให้กรรมการทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระจริงๆ ผมก็ไม่ไปวุ่นวาย ไม่ไปยุ่งเกี่ยว ซึ่งผมเชื่อว่าศักยภาพระดับนี้ ชื่อเสียงของท่านเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นหลักประกัน ความน่าเชื่อถือได้ระดับหนึ่ง"
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอประวัติและเบื้องหลังการทำงานที่ผ่านมาของคณะกรรมการทั้ง 6 คน ดังนี้
1.นายกล้านรงค์ จันทิก อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 (สสร.50) อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และอดีตกรรมการ ป.ป.ช.จากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารเมื่อปี 2549 เริ่มต้นการทำงานจากการทำหน้าที่เป็นเลขานุการส่วนตัว ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นได้ไต่เต้าขึ้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) ในปี 2540 หลังจากนั้นในปี 2549 ได้ร่วมลงนามทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอนายกฯพระราชทาน ต่อมาภายหลังเกิดรัฐประหารในปี 2549 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ นายกล้านรงค์ มีชื่อโดดเด่นจากการทำคดีปกปิดทรัพย์สินของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น กรณีการกู้ยืมเงิน 45 ล้านบาทจากบริษัท เอ เอ เอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด หลังจากนั้นก็โด่งดังเป็นพลุแตกภายหลังตรวจสอบเชิงลึกจนปิดคดี “ซุกหุ้น” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้สำเร็จ
นายกล้านรงค์ มีบทบาทอย่างมากภายหลังรัฐประหารปี 2549 นอกจากถูกตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช.แล้วยังตั้งเป็นกรรมการ คตส.เพื่อสอบสวนคดีทุจริตของพ.ต.ท.ทักษิณ และนั่งเป็น สสร.50 เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และเคยเป็นรองประธานสภาก่ารหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
2.นายสัก กอแสงเรือง อดีต ส.ว.กรุงเทพฯ เมื่อปี 2549 อดีต ส.ว.สรรหา เมื่อปี 2554 อดีตโฆษกกรรมการ คตส.จากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารปี 2549 และอดีตนายกสภาทนายความ ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในช่วงรับตำแหน่งโฆษกกรรมการ คตส.ในเรื่องการตรวจสอบเส้นทางการเงิน และเรื่องหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคดีการปล่อยเงินกู้ให้กับพม่าของธนาคารเอ็กซิมแบงก์ ซึ่งส่อเอื้อผลประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ป ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้นในขณะนั้น รวมถึงเป็นผู้ประกาศอายัดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ 7.3 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นายสัก ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี พร้อมดำเนินคดีอาญา กรณีมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากพ้นจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังไม่ถึง 5 ปี ในช่วงเข้ารับตำแหน่ง ส.ว.สรรหา เมื่อปี 2554
3.ศ.พิเศษ สิทธิโชค ศรีเจริญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ อดีตประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ สภาการหนังสือพิมพ์ และอดีตทนายความ ป.ป.ช.เคยว่าความในคดีสำคัญหลายครั้ง เช่น คดีฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และอดีตครม.พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดียักยอกทรัพย์กรณีการออกฉลากหวยบนดินของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น
ส่วนคดีที่ได้รับการจับตามากที่สุดคือ คดีทุจริตรถ-เรือดับเพลิง กทม. มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท เอาผิดนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน-นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯกทม. นายโภคิน พลกุล อดีตรมว.มหาดไทย นายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย และนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ จนท้ายสุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองตัดสินให้นายประชา และนายสมัคร มีความผิดทางอาญา ส่งผลให้นายประชาหลบหนีไปต่างประเทศ
4.รศ.ดร.ดรุณี หิรัญรักษ์ อดีตคณบดีนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และนักวิชาการอิสระด้านนิเทศศาสตร์ เคยถูกมอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดอนาคตขอสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟ จากคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกฯขณะนั้น มีหน้าที่รับผิดชอบรับฟังความคิดเห็นของประชาชานทั่วประเทศ และประมวลความคิดเห็นจากกลุ่มต่างๆ กรณีอนาคตของทีไอทีวี
ทั้งนี้ ในช่วงดังกล่าวสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ถูกคุณหญิงทิพาวดีให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีผู้บริหาร โดยดำเนินการฟ้องเรียกคืนหนี้สินต่าง ๆ ทั้งหนี้สินค่าสัมปทาน และหนี้สินที่ตกค้างเรื่องการส่งมอบทรัพย์สินที่ปรากฎในสัญญา และเรื่องค่าปรับ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการฟ้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
5.รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นที่รู้จักกันในด้านนักวิชาการทางกฎหมาย เคยทำรายการเกี่ยวกับประเด็นกฎหมายตามสื่อต่างๆ เคยเป็นพิธีกรรายการเล่าข่าวเช้านี้ทางช่อง 11 คู่กับนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และเคยเป็นวิทยกรรายการ “ช่วยคิด ช่วยทำ” ทางช่อง 3 คู่กับ รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง
รศ.ดร.เจษฎ์ โด่งดังภายหลังถูกนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธิกรชื่อดัง เชิญมาออกรายการ “เจาะข่าวเด่น” โดยนำมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับรศ.สุขุม นวลสกุล ในประเด็นการเคลื่อนไหวของม็อบ กปสส. นอกจากนี้ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงในการ “ดีเบต” เรื่องการเมืองกับนายเอกชัย ไชยนุวัต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกด้วย
6.นายเจษฎา อนุจารี ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาชีพว่าความ สภาทนายความ เคยเป็นทนายความของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และเลขาธิการกลุ่ม กปปส. โดยทำคดีให้กับนายสุเทพหลายคดี เช่น ในช่วง กปปส. เคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อปลายปี 2556 ที่นายสุเทพ ถูกศาลอาญาออกหมายจับ และคดีความในช่วงสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 เป็นต้น นอกจากนี้ยังเคยขึ้นปราศรัยบนเวที กปปส. วิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณ
ทั้งหมดนี้คือปูมหลังทั้งหมดของคณะกรรมการพิเศษ 6 คนที่สภาการหนังสือพิมพ์ และสภาการวิทยุและโทรทัศน์ แต่ง ตั้งขึ้นมาสอบสวนขยายผลกรณีข้อกล่าวหาสื่อมวลชนรับเงินบริษัทเอกชนเพื่อปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพ ดูจากรายชื่อและภูมิหลังแต่ละคนอยู่ในระดับอรหันต์การันตี ผลสอบสวนจะออกมาอย่างไร ต้องติดตามกันต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
'โพสต์'เลิกเสนอข่าว'CPF'ทั้งหมด ยันยึดจรรยาบรรณไร้ผลประโยชน์
'ผอ.เวป TCIJ'ยัน'CPF'ซื้อสื่อจริง จี้แก้กม.ให้ปปช.สอบเอกชนได้
ส.ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจแถลงจุดยืน ปม'บริษัทยักษ์ใหญ่'ตั้งงบซื้อสื่อ
สภาการนสพ.จ่อตั้งกรรมการสอบ ปมบริษัทยักษ์ใหญ่แป๊ะเจี๊ยะสื่อ
เปิดโปงบริษัทยักษ์ใหญ่ล็อบบี้สื่อ จ่ายเงินลบข่าว-กระทู้กระทบธุรกิจ
ที่มา : สำนักข่าวอิศรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี