ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ริชี่เพลซ 2002 (RICHY)
สัมภาษณ์พิเศษ : ‘เราเข้ามาระดมทุนเพื่อขยายงานไม่ใช่เพื่อทิ้ง’
คำสัญญาจากปากผู้บริหาร...บมจ.ริชี่เพลซ 2002 (RICHY)
หลังจากประเทศไทยเริ่มเข้าสู่หมวดของความสงบปราศจากความวุ่นวายทางการเมือง ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเชิดหัวขึ้น และสัญญาณที่เห็นชัดเจนที่สุดตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ก็คือสัญญาณจากตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่แปลกที่จะเห็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่ เริ่มทำแคมเปญการตลาดกันคึกคักอีกครั้ง และก็มีหลายๆ ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขยับเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น เพื่อระดมเงินขยายกิจการ ในช่วงที่เขาว่ากันว่าเป็นขั้น และหนึ่งในนั้นก็คือ บมจ.ริชี่เพลซ 2002 (RICHY)
ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ริชี่เพลซ 2002 (RICHY)ดร.อาภา บอกกับ “แนวหน้า โลกธุรกิจ” ว่า จุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจเริ่มจากชิ้นส่วนยานยนต์ import-export เป็น Agent แล้วก็มาร่วมกับ TOYOYA สร้าง โรงงานเพื่อส่งออก
แล้วทำสำนักงานออฟฟิศให้เช่า อยู่กับงานด้าน property มาเป็นเวลา 50 ปีพอดี ที่บ้านธุรกิจอพาร์ทเมนต์ เรียกได้ว่าก็อยู่วงในการอสังหาฯมา 50 ปี พ่อก็มีที่ดินสะสมไว้เยอะ แต่ไม่ได้เอามาใช้ทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภท บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม เป็นเรื่องเป็นราว เพราะขายต่อไปในสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นขายกำไรเยอะมาก ที่ช่อง 3 หนองแขม ตอนนั้นดิฉันพายเรือไปซื้อกับพ่อ ตอนนั้นไร่ละ 5,000 บาท ตอนขายไปวาละหมื่นกว่าบาท ก็กำไรนิดหน่อย (หัวเราะ)
แนวหน้า : แต่ถึงตอนนี้คงบอกว่าไม่ได้ทำเป็นเรื่องเป็นราวได้แล้วมั้ง
ดร.อาภา : คงจะใช่ค่ะ ปัจจุบันบริษัท เป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และทาวน์โฮม ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้แบรนด์ “เลอริช” ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมความสูงไม่เกิน 8 ชั้น และแบรนด์“ริชพาร์ค” เป็นโครงการคอนโดมิเนียม ที่มีความสูงเกิน 8 ชั้น ที่เน้นพัฒนาโครงการรอบบริเวณสถานีขนส่งมวลชนระบบราง ขณะที่โครงการทาวน์เฮาส์ และทาวน์โฮม จะพัฒนาภายใต้แบรนด์ “เดอะริช” และบ้านเดี่ยว จัดสรรภายใต้แบรนด์ “ริชชี่ วิลล์” จะพัฒนาโครงการในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
รวมแล้ว ปัจจุบัน มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโดย ริชี่เพลซ 2002 จำนวน 9 โครงการแบ่งเป็นโครงการที่ปิดการขายแล้ว ได้แก่ โครงการริชชี่วิลล์ บางบัวทอง โครงการริชชี่ทาวเวอร์ เพชรเกษม-สาทร โครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดจำหน่ายจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมเลอริช พระราม 3โครงการเลอริช รัชดา-สุทธิสาร โครงการริชพาร์ค@ บางซ่อนสเตชั่น และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และเปิดจำหน่าย ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมริชพาร์ค @ เตาปูนอินเตอร์เชนจ์ โครงการริชพาร์ค@ เจ้าพระยา และโครงการทาวน์โฮม เดอะริช บิซโฮม สุขุมวิท 105
แนวหน้า : ริชี่เพลซฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 214 ล้านหุ้น ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
ดร.อาภา : ค่ะใช่ค่ะ ก็ประมาณ 29.97% หลังกระจายหุ้นสัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่จะเหลือประมาณ 54% มีหนี้ค่ะ เป็นหนี้ธนาคารและเป็นหนี้ที่ชำระเมื่อปลอดจำนองแต่ละแปลงแต่ละห้อง เป็นโปรเจกท์ไฟแนนซ์ทั้งหมด การเพิ่มทุนครั้งนี้จะได้เงินมากี่บาท กี่สลึงคือเอาไปลงทุนต่อทั้งหมด ในโครงการใหม่ หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระทั้งสิ้น โอนขายเมื่อไหร่ก็ปลอดเป็นรายแปลง ไม่มีหนี้นอกระบบ ไม่มีหนี้เอกชน
ย้ำกับนักลงทุนได้เลยว่าบริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทมีนโยบายเน้นทำเลที่มีศักยภาพตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และเป็นชุมชนที่คนอาศัยหนาแน่น บริษัทดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวสูง และแนวราบ โดยแนวสูงประเภทคอนโดมิเนียม ประกอบด้วย แบรนด์ริชพาร์คแบรนด์เลอริช โดยจะเน้นที่ตั้งใกล้บริเวณแนวเส้นทางรถไฟฟ้าเป็นหลัก สำหรับแนวราบ ประกอบด้วยแบรนด์ริชชี่ วิลล์ ที่เป็นบ้านเดี่ยวจัดสรร และแบรนด์เดอะริช บิซโฮม สุขุมวิท 105 เป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น
แนวหน้า : มั่นใจกับราคาที่จะขายได้ไหม
ดร.อาภา : ปีที่แล้วเราปันผลเยอะ ก็ได้เยอะ ผู้ถือหุ้นพอใจเพราะเราตั้งเป้าไว้ว่าปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ปีที่แล้วเราปัน 51% ก็ได้เกินกว่าที่เขาคาดหวัง แต่ว่าพอปันผลแล้วเราก็เพิ่มทุนเขาก็เอาเงินกลับมาเพิ่ม แต่คิดว่าเขาพอใจแล้วที่เขาได้นู่นได้นี่ คุ้มค่าการลงทุน ของเขา ถ้ามาทุบแล้วมันตกลงไปเขาคงตกใจ เพราะฉะนั้นเรื่องทุบคงไม่มีใครอยากทำร้ายตัวเอง
แนวหน้า : ที่ผ่านมา รีชชี่ฯทำกำไรค่อนข้างสูง มีจุดแข็งอะไรที่ทำให้เราทำได้ขนาดนี้
ดร.อาภา : ประการที่ 1 มาจาก เรื่องนโยบายธุรกิจของบริษัทที่เลือกลงคอนโดฯซึ่งเป็นสินค้า popular เราต้องเลือกระหว่างบ้านแนวราบลงทุนน้อย กับคอนโดฯที่ลงทุนหนัก เราเลือกที่จะลงทุนหนักแล้วนานกว่าจะคืน แล้วไม่มีการทยอยคืนจะต้องเสร็จอย่างเดียวถึงจะคืน แต่บ้านสร้างเสร็จ 10 หลังก็ทยอยขายไปหลังที่ 11 เราก็ค่อยสร้างต่อ
ประการที่ 2 กลยุทธ์ทางธุรกิจของเราเลือกเอาที่สะดวกในการเดินทาง ทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้า หรือสะดวกจับจ่ายใช้สอยใกล้ห้างสรรพสินค้า เราถูกต้องมาตลอดด้านกลยุทธ์ เรื่องโปรดักซ์เราก็ดีไซน์ได้ถูกต้องตรงที่เราไม่ทำห้องใหญ่จำนวนมาก เราคิดแบบนี้มาหลายปี ไม่ได้ตามหลังเขา ก่อนนี้มีแต่คนทำห้องใหญ่ เมื่อ 5-6 ปี ทำแต่ห้องใหญ่ๆ เรามีการทำ research ดิฉันจบปริญญาเอกด้านการจัดการ วิทยานิพนธ์ของดิฉันทำเรื่องพฤติกรรมการตัดสินใจการซื้อห้องชุด คือมันตรงๆ เลย มันไม่อ้อมเลย เราทำเรื่องนี้ เราเลยรู้ว่าเขาต้องการอะไรเขาคิดอะไร เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ยังไง และแต่ละปีเขาคิดเปลี่ยนแปลงยังไง ดิฉันทำ research ทั้งหมด
แนวหน้า : แล้วนโยบายโครงการในอนาคต เราจะมุ่งพัฒนาคอนโดฯเป็นหลัก หรือมองแนวราบด้วยไหม
ดร.อาภา : เนื่องจากเรามาคอนโดฯ 90% แล้ว นโยบายของผู้ปกครองก็ยังประกาศว่าสายเก่าก็ยังจะต่อขยาย สายใหม่ก็ยังจะสร้างเพิ่ม เราก็เลยเห็นว่ามันยังมีโอกาสขยายที่อยู่อาศัยแบบบ้านสะดวก เราก็ยังจะไปต่อ เพราะยังไม่มีเหตุผลที่จะต้องหยุด เพียงแต่ว่าการหาที่ดินมันก็ลำบาก เจ้าของที่ดินก็พูดจาไม่เพราะ ราคาที่ดินก็ขึ้นแบบไม่เป็นเหตุเป็นผล จาก 300 ไป 400 ไป 420 เอาก็เอา ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา เอาก็ไม่ต้องมัดจำ อยากซื้อวันไหนมาโอนเลย
แนวหน้า-ว่ากันว่าทำอสังหาฯ เหมือนหนูถีบจักรจะหยุดไม่ได้
ดร.อาภา : ก็ทำโครงการหมดไป ก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ มันไม่เหมือนโรงงานทำชิพโรงงานจะเหนื่อยอยู่ 10 ปีแรก พออยู่ตัวลูกค้าพอกับคุณภาพ บริการก็โอเคแล้ว ทีนี้ก็เหลือสดๆ เยอะแยะ เพราะส่วนของที่ดิน เครื่องจักรมันจ่ายไปหมดแล้ว ช่วงนั้นก็เป็นเงินกู้ตอนนี้ก็เป็นของเรา แต่อสังหาฯ หนูถีบจักรจริงๆ พอจบโครงการต้องนับหนึ่งใหม่ เริ่มจากซื้อที่ดิน สำรวจที่ดิน เขียนแบบ กระบวนการซ้ำแต่ว่า ลูกค้าหน้าใหม่ รายใหม่ เรื่องใหม่ๆ ร้องเรียนใหม่ๆ ตลอดเวลา และยิ่งมาก็ยิ่งรู้มาก แต่รู้ไม่จริง ลูกค้ารู้มากแต่รู้ไม่จริง เขาเล่าว่า เขาบอกมาอย่างนี้ ตรวจกระเบื้องต้องเอาเหรียญเคาะ ต้องเอาลูกแก้วกลิ้ง ตอนนี้นะคะไม่มีช่างคนไทยที่เข้ามาใหม่เลยนะคะ ตอนนี้คนงานแรงงานไม่มีคนไทยนะคะ ในไซต์หนึ่งต้องมี 3 ภาษา อินเตอร์มากเลยค่ะ
แนวหน้า : ปีที่แล้วผลการดำเนินงานเป็นยังไง รายได้ ยอดขาย กำไร ปันผล
ดร.อาภา : ปีที่แล้วมียอดขายเติบโตเกือบ 200% YoY ก่อนหน้านี้เป็นหลักร้อย รายได้ยอดโอน จาก 400 ขึ้นมาเป็น 1,200 กว่า กำไร จาก 60 กว่า ขึ้นมาเป็น 200 กว่า ฐานมันเล็กไงคะ บริษัทขนาดเล็กขนาดกลางโครงการจะไม่ต่อเนื่อง เพราะมีข้อจำกัดทางเงินทุน ปี 2555 เป็นโครงการขนาดกลางที่ซ.อารีย์ แต่ปี 2556 เป็นโครงการขนาดสูงมันก็เลยกระโดด แต่ว่านับจากปีที่แล้วมาและต่อไปทุกปีจะมีตึกสูงเสร็จหมด
แนวหน้า : เราวางเป้าโตหลังเข้าตลาดปีละกี่เปอร์เซ็นต์
ดร.อาภา : ก็คงต้องตามรุ่นพี่ ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเท่าไหร่เราก็ต้องโตเท่านั้น เช่น ในอุตสาหกรรมเขาโต 10-20 เราก็ต้องโตให้ได้เท่านั้น นั่นคือเรื่องของรายได้ ส่วนกำไร ก็ต้องเป็นสัดส่วนกัน ก็ต้องโตค่ะไม่งั้นทางผู้ถือหุ้นผิดหวัง ปันผลก็นโยบายไม่น้อยกว่า 40% เว้นแต่ปีไหนโครงการมีใหม่ก็จะขอผู้ถือหุ้นเอาเงินไปลงทุน ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้นว่าจะอนุมัติมั้ย
“เราไม่ได้เข้าตลาดหุ้นมาเพื่อทิ้งเพื่อเลิก แต่เข้าเพื่อขยายงาน ความเชื่อใจของนักลงทุนต้องระวังต้องดูแลเขาอย่างมาก และไม่มีผู้ถือหุ้นเดิมขายทิ้งแน่ๆ คุยกันแล้ว ส่วนราคา ดูจากบุ๊คก็โอเค ก็ประมาณ 1.50 บาท เราอยากได้เงินทุน 500-1,000 ลบ. แต่ราคาขายของไอพีโอ กำหนดมาเท่าไหร่ก็มีดิสเคานท์ให้อยู่แล้ว” ดร.อาภา กล่าวทิ้งท้าย
อนันตเดช พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี