สมาคมผู้ค้าปลีกเชื่อครึ่งปีหลังธุรกิจค้าปลีกสดใส หลังคสช.เข้ามาบริหารราบรื่น ผลักดันเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประชาชน นักลงทุนเชื่อมั่น คาดทั้งปีโต 6-7 % พร้อมชงคสช.ออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่าย ผลักดันไทยเป็นฮับการชอปปิ้งของเอเชียและของโลก
น.ส.บุษบา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ภาพรวมค้าปลีกเติบโตเพียง4.6 %จากปัจจัยลบหลายด้านโดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในประเทศ ส่งผลให้บรรยากาศการจับจ่ายซื้อสินค้าในช่วงดังกล่าวลดลง
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังปัญหาทางการเมืองคลี่คลาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เดินหน้าบริหารประเทศได้อย่างราบรื่นตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักลงทุนส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังดีขึ้นคาดเศรษฐกิจประเทศขยายตัว 2.5%
ขณะที่ภาคค้าปลีกสดใสขึ้นโดยคาดว่าธุรกิจค้าปลีกปีนี้จะเติบโต 6-7 %โดยแบ่งเป็นการค้าส่งโต 2.2% และค้าปลีกโต 2.5-2.8% โดยมูลค่าธุรกิจค้าปลีกสิ้นปี 2556 อยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าไตรมาส 4 จะเป็นช่วงพีคที่สุด หลังจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ อนุมัติโครงการลงทุนต่าง ๆ ทำให้จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ส่วนการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกในครึ่งปี 2557 ยังคงมีการขยายสาขาต่อเนื่อง โดยคอนวีเนียนสโตร์เติบโต 7% ซูเปอร์มาร์เก็ตโต 3.5% ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เติบโตขึ้น 3.5 %ดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ขยายตัว 3% และกลุ่มร้านค้าเฉพาะทางโต 4.5% คาดว่าภาคเอกชนยังคงขยายธุรกิจต่อเนื่อง ไม่มีการลดแผนการลงทุน
น.ส.บุษบากล่าวว่าเมื่อเร็วๆนี้สมาคมฯ ได้ยื่นเสนอมาตรการต่างๆ ไปยังคสช. เพื่อให้พิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับภาคธุรกิจค้าปลีก เป็นการช่วยกระตุ้นให้ตลาดรวมค้าปลีกของไทยในปีนี้ให้สามารถเติบโต 6-7% ได้ ทั้งนี้ข้อเสนอดังกล่าวประกอบด้วย 1. รัฐบาลต้องเร่งกำหนดมาตรการเร่งด่วนในการลดค่าครองชีพ 2. รัฐบาลต้องมีมาตรการส่งเสริมการค้าชายแดนอย่างชัดเจน 3. รัฐต้องหามาตรการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในการลงทุนจับจ่าย 4. ต้องกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเร่งด่วน
5. เสนอให้มีการจัดตั้งกระทรวงพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและย่อมและการค้า หรือเอสเอ็มอี ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และชัดเจน เพราะขณะนี้มี เอสเอ็มอี ที่ทำธุรกิจค้าปลีกกว่า 120,000 ราย
6. รัฐบาลควรพิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มแฟชั่นชั้นนำเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวและมีมูลเหตุจูงใจให้คนไทยซื้อในประเทศมากขึ้น โดยสถิติของ “โกลบอลบลู” รุ่นปี 2555 และ 2556 มีการขอคืนภาษีในต่างประเทสสูงติดอันดับ 6 ของโลก เป็นจำนวนเงินมหาศาลหันกลับมาใช้จ่ายในประเทศไทย แต่ล่าสุดไทยตกสู่อันดับที่ 7 แต่มีระดับการจ่ายสูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากจีน เป็นต้น 7. ภาครัฐต้องไม่ปิดกั้นผู้ประกอบการรายอื่นๆ ให้เข้ามาดำเนินธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน และนอกสนามบิน
รวมไปถึงประเด็นที่ต้องการมากที่สุดคือ การส่งเสริมและผลักดันไทยเป็นฮับของการชอปปิ้งของเอเชียและของโลก เนื่องจากจำนวนกว่า 66% ของประชากรโลกทั้งหมดอยู่ในเอเชีย ทุกคนต้องมาท่องเที่ยวที่เอเชียและไทยก็จะเป็นเป้าหมายหลักด้วยของการชอปปิ้ง อีกประเด็นคือ ให้ภาครัฐตั้งหน่วยงานกลางขึ้นมา 1 หน่วยเพื่อรับผิดชอบดูแลเรื่องการค้าปลีกโดยเฉพาะ เพื่อให้การทำงานและการประสานงานหรือการประสานงานติดต่อเป็นไปด้วยความสะดวก ทั้งคนต่างชาติเองหรือของไทยเอง ซึ่งเรื่องนี้เราก็พูดกันนานแล้ว ผ่านรัฐบาลมาหลายสมัยก็ยังไม่เสร็จเสียที หวังว่าคราวนี้ คสช.น่าจะทำให้ได้
ก่อนหน้านี้นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยออกมาระบุว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ 4-5 %เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก ที่ไม่เติบโตหลังจากมีปัญหาการเมือง และเมื่อการเมืองมีเสถียรภาพ
มากขึ้นสามารถจัดทำงบประมาณปี 2558 ได้ตามกำหนดเวลา ทำให้เกิดโครงการลงทุนต่าง ๆของภาครัฐ เศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัว จากการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยวจะปรับดีขึ้น จากเหตุการณ์ในประเทศที่สงบลง
โดยศูนย์พยากรณ์ฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะขยายตัวมากกว่า2% แต่จะเติบโตถึง 3% หรือไม่นั้น ยังต้องรอประเมินสถานการณ์ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ที่จะมีคณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศก่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี