นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยการประเมินการค้าและการลงทุนไทยภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(เออีซี) ตั้งแต่ปี 2553-56 ว่า ต้องยอมรับว่า การค้าและการลงทุนของไทยภายในอาเซียนด้วยกันมีอาการค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยการส่งออกของไทยไปในประเทศอาเซียนในปี 2556 อยู่ในอันดับที่ 3 ของผู้ส่งออก 10 ประเทศ แม้ไทยจะมีมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยล่าสุดมีมูลค่า 45,626 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่อัตราในการขยายตัวกลับอยู่ในอันดับ 7 ที่ 1% ของอาเซียน มากกว่า บรูไน กัมพูชา และเวียดนาม เท่านั้น
ขณะที่สินค้าส่งออกของไทยยังอยู่ในกลุ่มของอุตสาหกรรมดาวร่วง มากกว่าในกลุ่มดาวเด่นที่มีเพียง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, สิ่งทอ, เนื้อสัตว์, ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง, เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก และเครื่องดื่มและยาสูบ เท่านั้นส่วนสินค้าอื่นๆ เช่น ข้าวสาร, อาหารทะเลแปรรูป, ผลิตภัณฑ์ไม้, ผลิตภัณฑ์ปิโตเลียมและถ่านหิน, มันสำปะหลัง, เครื่องนุ่งห่ม, น้ำมันปาล์ม, กาแฟ, ยางพารา, ยานยนต์และชิ้นส่วน และน้ำตาล เป็นต้น กลายเป็นอุตสาหกรรมดาวร่วง ของเออีซี ใน 4 ปี
ทั้งนี้ สถานะศักยภาพทางการค้าของประเทศในอาเซียน นับตั้งแต่ 2553 การส่งออกไทยลดลงทุกปีในตลาดอาเซียน โดยในปี 2556 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 ซึ่งเป็นอันดับ ‘ตกต่ำ’ มีอัตราการขยายตัวและส่วนแบ่งตลาดต่ำ ส่วนประเทศสิงคโปร์ยังครองอับดับ 1 ‘ดาว’ ที่มีอัตราขยายตัวและส่วนแบ่งตลาดสูง อีกทั้งในปี 2555-56 ไทยได้เสียประโยชน์ทางการค้าไปแล้วเป็นมูลค่า 8,428 ล้านบาท ส่วน ประเทศอินโดนีเซีย เสียประโยชน์ไปแล้วมูลค่า 10,812 ล้านบาท ฟิลิปปินส์เสียประโยชน์ไป 19,567 ล้านบาท และสิงคโปร์เสียปะโยชน์ไปแล้ว 54,534 ล้านบาท ส่วนประเทศที่เหลือได้ประโยชน์ โดยเฉพาะมาเลเซียที่ได้ผลประโยชน์ มากถึง 107,569 ล้านบาท
สำหรับภาคการลงทุน(เอฟดีไอ) 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4 ของอาเซียนที่ทั่วโลกให้ความสนใจมาลงทุน รองจาก สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยมีมูลค่า 36,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีล่าสุด 2555-56 การเปลี่ยนแปลงมูลค่าไทยอยู่อันดับที่ 2 มีการเปลี่ยนแปลง 2,240 ล้านเหรียญสหรัฐ รองจากสิงคโปร์ 2,613 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันการลงทุนของกลุ่มประเทศอาเซียนปี 2555-56 ไทยเป็นอันดับ 1 ที่มีมูลค่ามากที่สุด 1,599 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าในปี 2557 มองว่าส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยจะมีสัดส่วนน้อยกว่า 17 % ของส่วนแบ่งตลาดทั้งหมดในอาเซียน เนื่องจากสินค้าหลายตัวถูกแย่งตลาดไป เช่น ข้าว เครื่องนุ่งห่ม ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น ส่วนศักยภาพทางการค้าไทยยังคงตกต่ำต่อไป หากยังไม่มีการพัฒนาการทำการตลาดอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ภาครัฐควรเข้ามาช่วยผลักดันนักธุรกิจไทยไปลงทุนในอาเซียน โดยปรับแนวทางส่งเสริมการลงทุน เน้นไปที่ธุรกิจเอสเอ็มอี และโอท็อป ให้ตอบสนองกับผู้ประกอบการไทย โดยเชื่อว่าหากสามารถพัฒนาเรื่องข้างต้นได้ ไทยอาจกลับมาเป็นประเทศที่มีศักยภาพในอันดับ 3
“สิ่งที่ประเทศไทยต้องปรับ เพื่อรองรับการเปิดเออีซี คือการทำการตลาดของผู้ประกอบการไทยใหม่ ซึ่งสินค้าไทยเป็นที่นิยมในตลาดอาเซียนอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ทำการตลาดอย่างจริงจัง หรือสร้างแบรนด์ในตลาดอาเซียน และต้องมีบริษัททางการค้าระหว่างนักลงทุนไทยในอาเซียน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่จะไปทำการค้าในอาเซียนด้วย”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี