“สุรเกียรติ์”ฟุ้งศก.ไทยพร้อมกลับมาผงาด-ภาคธุรกิจแนะเร่งแก้หลายจุดอ่อน
เปิดเวทีเรียกศัทธาเอกชน
"สุรเกียรติ์" กล่อมนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ยันเศรษฐกิจไทยกลับมาผงาดอีดครั้ง หลังคสช.เข้าบริหาร และแผนปฎิรูประเทศเริ่มเห็นผล ชี้ต้องเร่งเดินสายเรียกศัทธา บิ๊กปูนซิเมนต์ไทย ชี้สร้างแรงจูงใจดึงดูดนักลงทุน นายแบงก์ต่งชาติ แนะพัฒนาระบบไอที ประธานเครือสหพัฒน์ฯ พอใจ ปัญหาคอร์ชั่นได้รับการแก้ไข
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวในงานสัมมนา”Thailand is Back” เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับภาคเศรษฐกิจ-อุตสาหกรรมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยมีนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติเข้าร่วมประมาณ 500 คน ว่า ขณะนี้เอกชนทั้งไทยและต่างประเทศกำลังติดตามโรดแมปด้านการเมืองจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาล สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)และองค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวข้องเมื่อไร หลังคสช.สามารถออกรัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว ดังนั้นเวลานี้จึงต้องขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายที่จะผลักดันแผนปฏิรูปประเทศตามเป้าหมายทั้งฝ่ายที่ขัดแย้งและไม่ขัดแย้งในการเข้าร่วมแสดงความเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับประเทศไทยว่าจะเปิดให้มีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน
นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า ขณะนี้โรดแมปด้านเศรษฐกิจถือว่าตามแผนประสบความสำเร็จจนเป็นผลให้ช่วง2เดือนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้รับคะแนนจากประชาชนสูงตั้งแต่ 8 คะแนนขึ้นไป โดยผลงานด้านเศรษฐกิจที่โดดเด่น อาทิ การจ่ายเงินค่าข้าว การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น การอนุมัติโครงการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) การแก้ปัญหาใบอนุญาตโรงงาน
“เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังจะมีความสดใสส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีสามารถขยายตัวได้ ขณะที่ปี2558 เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตถึงระดับ5 % แต่ต้องขึ้นอยู่ความร่วมมือในการผลักดัน โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจ ภาครัฐ ที่จะผลักดันเศรษฐกิจร่วมกันต่อไป และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงสถานการณ์พิเศษการออกไปเรียกความเชื่อมั่นต่างประเทศมีความจำเป็น ดังนั้นในส่วนของภาครัฐและเอกชนของไทยควรวางแผนและเพิ่มประเทศที่ควรไปเรียกความเชื่อมั่น ทั้งยุโรปตะวันออก แอฟริกา ลาตินอเมริกา โดยอาจใช้วิธีเคาะประตู ส่งบุคคลสำคัญไปหารือ “
สำหรับสิ่งที่เป็นอุปสรรคแต่สามารถมองเป็นเรื่องท้าทาย ได้แก่ การกระตุ้นยอดนักท่องเที่ยวให้กลับมาในไทยมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันลดลง 4-5แสนคน เนื่องจากหลายประเทศยัง
ออกประกาศเตือนการเข้ามาเที่ยวในไทยเพราะยังติดประกาศกฎอัยการศึก การส่งออกของประเทศที่วางเป้าหมาย 5-6 % รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเตรียมพร้อมเข้าสู่เออีซี และมาตรการช่วยเหลือคนจน โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือชาวนาให้มีรายได้ มีการบริหารที่โปร่งใส ไม่ต้องพึ่งพิงแต่นโยบายประชานิยม
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนได้ทำงานร่วมกับภาครัฐตลอดมา ซึ่งขณะนี้ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจ เช่น กฎหมายศุลกากร กฎหมายการลงทุน กฎหมายภาษี เป็นต้น เพื่อให้กฎหมายทันสมัยและอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 3-3.5%
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยควรมีมาตรจูงใจให้นักลงทุนหรือบริษัทต่างชาติเข้ามาใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุน โดยการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาเปิดสำนักงานภูมิภาคในไทยมากขึ้น จากปัจจุบันที่ไทยเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่ที่ 23 % ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ที่เก็บภาษีอยู่ที่ 17% ทำให้ต่างชาติมีกำไรเหลือจากหักค่าใช้จ่ายและการลงทุนมากกว่าเข้ามาลงทุนในไทย
สำหรับแผนการออกไปลงทุนในต่างประเทศของบริษัทมีทั้งการลงทุนกิจการซีเมนต์ในเมียนมาร์ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซียและเวียดนามลงทุนกิจการโรงงานกระดาษไทยเปเปอร์ รวมทั้งการลงทุนในฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นต้น โดยปัจจุบันบริษัทมีพนักงานต่างชาติ 30% ของพนักงานทั้งหมดที่มี 40,000-50,000 คน ในจำนวนนี้มีแรงงานไทยที่ออกไปทำงานอยู่ในบริษัทที่ลงทุนอยู่ในต่างประเทศ 302 คน
ด้านนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ ทำให้สถานการณ์ในประเทศมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะนโยบายที่จะเน้นการปฏิรูปประเทศ การต่อต้านคอรัปชั่น รวมถึงการแก้ไขปัญหาในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชนได้มากขึ้น เห็นได้จากดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจทุกตัวก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน
นายแฟรงค์ คริงส์ ผู้จัดการใหญ่และผู้จัดการทั่วไป ธนาคารดอยช์แบงก์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ไทยควรปรับปรุงเรื่อง CIT ซึ่งประกอบด้วยการแข่งขันและความเชี่ยวชาญ(Competition &Competency) การลงทุน (Invesment) และความโปร่งใสกับเทคโนโลยี (Transparency&Technology) จึงหวังว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เกิดความเชื่อมั่นในสายตาต่างชาติ (Confifent in Thailand:CIT)
ด้านนางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากการสำรวจภาวะธุรกิจในช่วงเดือนมิถุนายน 2557 จำนวน 1,790 ราย ดัชนีภาวะธุรกิจมีค่า 43.0 สูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมีค่า 38.0 ดัชนีดังกล่าว แม้จะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ยังต่ำกว่าค่า 50 เนื่องจากความกังวลกับสถานการณ์ทางการเมือง ต้นทุนการประกอบธุรกิจที่สูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจโลก และค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ขณะที่ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจอีก 3 เดือนข้างหน้ามีค่า 61.4 ซึ่งดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่า 49.2 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดการณ์เศรษฐกิจไตรมาสหน้ามีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลายจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจการบริหารประเทศ มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การคืนเงินโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศปรับตัวดีขึ้น
สำหรับผลการสำรวจภาวะธุรกิจรายสาขา ผู้ประกอบการเกือบทุกสาขาเห็นว่าภาวะธุรกิจมีทิศทางดีขึ้น ยกเว้นสาขาเกษตรกรรม เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ฝนทิ้งช่วง ปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตลดลง วัตถุดิบราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการเลี้ยง และการขยายบ่อเลี้ยงกุ้ง รวมทั้งประสบภาวะการแข่งขันสูง ขณะที่สาขาบริการยังทรงตัว ผลจากนักท่องเที่ยวลดลงจากความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจมีความคาดหวังว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังจาก คสช. เข้ามาบริหารประเทศ และเริ่มมีการปฏิรูปประเทศทุกด้านให้ดีขึ้น รวมถึงมีมาตรการเร่งด่วนในการคืนเงินโครงการรับจำนำข้าวที่ค้างจ่ายให้แก่ชาวนาจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะให้ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ ดูแลค่าครองชีพและค่าสาธารณูปโภคไม่ให้สูงจนเกินไป เร่งให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี