สสว.ตามรอย “บีโอไอ” คสช.เตรียมออกคำสั่งย้าย ไปสำนักนายกรัฐมนตรี ใน เร็วๆนี้ ชี้เพื่อลดขั้นบังคับบัญชา ให้ขึ้นกับนายกฯโดยตรง ด้านบิ๊กสหพัฒน์ฯ ในฐานะสนช.หนุนเมกะโปรเจกท์ กระตุ้นเศรษฐกิจ
พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.) หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า นโยบายของ คสช. ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) และการส่งเสริมการลงทุนเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องให้ความสำคัญจริงจัง จึงจำเป็นต้องลดสายการบังคับบัญชาลงให้หน่วยงานที่ให้การส่งเสริมมาอยู่ใต้บังคับบัญชา นายกรัฐมนตรี
ในส่วนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) คสช.ได้ออกประกาศให้เปลี่ยนผู้ดูแลกฎหมายจากรมว.อุตสาหกรรม มาเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมเพื่อปรับปรุงโครงสร้างใหม่ โดยคาดว่าเร็วๆ นี้จะมีการออกประกาศโอน สสว. ไปอยู่ใต้ สำนักนายกรัฐมนตรี ด้วย เช่นเดียวกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)
“หลังจากนี้ทั้ง สสว. และบีโอไอจะไม่อยู่ใต้ กระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว ซึ่งจะทำให้หน่วยงานที่เป็นสำนักงานใต้กระทรวงฯ เหลือ 5 หน่วยงาน จากเดิมที่มี 7 หน่วยงาน การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ก็เพื่อยกระดับให้ชัดเจนว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ”
หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. กล่าวว่า กรณีของมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ดที่จะหมดเวลาการให้การส่งเสริมฯ ในสิ้นปี 2557นั้น ประเด็นนี้ยังไม่ได้มีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกครั้งล่าสุด แต่ทั้งมาตรการส่งเสริมฯ ในภาพรวมทั้งประเทศและส่วนของอีสเทิร์นซีบอร์ดจะออกมาพร้อมกับนโยบายใหม่ ปี 2558 – 2564 ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็น่าจะเริ่มบังคับใช้1 ม.ค. 2558
พล.อ.อ. ประจิน กล่าวว่า ขณะนี้บีโอไออยู่ระหว่างการปรับปรุงนโยบายฉบับใหม่อีกเล็กน้อยตามที่ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอแนะนำให้ปรับปรุง ซึ่งคาดว่าจะนำร่างที่มีการปรับปรุงแล้วนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ดในครั้งถัดไป
ส่วนผลประชุม คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกครั้งล่าสุดได้มีการอนุมัติ 8 แผนงานเร่งด่วน ในการพัฒนาพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง แล้ว โดยใช้งบประมาณ 677 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการขอใช้งบกลาง ปี 2557 เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ยังไม่ชัดว่า คสช. จะอนุมัติให้เท่าไร และหากงบไม่เพียงพอก็อาจต้องมีการเกลี่ยไปใช้งบปีถัดไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ ครั้งที่ 2 นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาทหารบก(ผบ.ทบ.) และหัวหน้า คสช. จะให้มีการย้ายสำนักงานบีโอไอไปอยู่ใต้สำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังให้มีการปรับปรุงยุทธศาสตร์ส่งเสริมใหม่ โดยให้เพิ่มในส่วนการเน้นให้การส่งเสริมเอสเอ็มอี การสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคเกษตรและภาคบริการเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้านรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน
ด้าน นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หนึ่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. กล่าวว่า ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับภาคการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานประเทศแล้ว มองว่า ยังคงต้องพัฒนา และเดินหน้าลงทุนต่อไป แต่ต้องพิจารณาบางโครงการที่สำคัญและมีความเหมาะสม เช่น รถไฟรางคู่ โดยเป็นการทยอยก่อสร้างเป็นเฟสๆไป และต้องทำให้โครงการโปร่งใส เพื่อพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังมีปัญหาหลายอย่างที่จะต้องรีบแก้ไขเร่งด่วน โดยในเบื้องต้นมองว่า สิ่งสำคัญจะต้องกระตุ้นภาคเศรษฐกิจ เพราะแม้ว่าความเชื่อมั่นในสถานการณ์บ้านเมืองของผู้คนจะกลับมาแล้ว แต่ภาคการจับจ่ายใช้สอย หรือกำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ จึงยังคงส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว ฟื้นตัวได้ช้ากว่าปกติ จึงสนับสนุนให้มีการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับความคิดเห็นต่อผู้ที่มีความเหมาะสมที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ของประเทศในขณะนี้ มองว่า ควรจะเป็นบุคคลที่มีความเป็นกลาง ดูแลและควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้ ต้องมีความเป็นผู้นำและตัดสินใจได้ถูกต้อง ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าไม่เด็ดขาดก็อาจเกิดปัญหาการถกเถียงขัดแย้ง อาจทำให้ประเทศไม่เดินหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี