คลังอนุมัติแผนบริหารหนี้งบปี’58 วงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท มีทั้งเคลียร์หนี้เก่าและกู้ใหม่ เพื่อลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เตรียมชงเรื่องให้คสช.พิจารณาสัปดาห์หน้า ขณะที่ 10 เดือนแรกปีงบประมาณ’57 รัฐบาลมีรายได้ 1.67 ล้านล้านบาทหลุดเป้า 1.32 แสนล้านบาท เหตุเก็บภาษีได้น้อย
น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะที่มีนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานได้อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2558 วงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท เป็นการบริหารหนี้เก่า 7.9 แสนล้านบาท และเป็นการกู้ใหม่ 3.8 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการกู้ของรัฐวิสาหกิจ (รสก.) ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทการบินไทยที่มีแผนกู้เงิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องบินใหม่ โดยจะเสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบในสัปดาห์หน้า
สำหรับการกู้ใหม่ 3.8 แสนล้านบาท จะเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2558 จำนวน 2.5 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการกู้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง 2.4 ล้านล้านบาท ที่ คสช. เห็นชอบแล้วซึ่งจะมีการกู้เงินลงทุนในปีงบประมาณ 2558 วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการลงทุนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ม.)
ส่วนแผนการกู้เงินใหม่นั้นจะมีทั้งการออกพันธบัตรรัฐบาล การออกตั๋วเงินระยะสั้น และการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อขายให้กับประชาชนตามนโยบายของคสช. คาดว่าจะออกเป็นวงเงินประมาณ 1-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกพันธบัตรออมทรัพย์อายุ 3 ปี 5 ปี 7 ปี และ 10 ปี ถึงจะสอดคล้องกับการลงทุนและให้ประชาชนได้รับผลตอบแทนสูงสุด
น.ส.จุฬารัตน์กล่าวว่า แผนการบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2558 มีการพิจารณาให้สอดคล้องกับแผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ ที่ 11 และยุทธศาสตร์การบริหารประเทศของ คสช. โดยเฉพาะแผนการลงทุนด้านคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะกลางและยาว
อย่างไรก็ตาม ทางสบน.ยังไม่ได้พิจารณาค้ำประกันเงินกู้วงเงิน 2.8 หมื่นล้านบาท ให้กับบริษัทการบินไทยที่ต้องการกู้ไปเสริมสภาพคล่อง ซึ่งขณะนี้บริษัทการบินไทยได้ส่งแผนฟื้นฟูมาให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณาแต่ยังต้องให้ คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน พิจารณาเห็นชอบก่อน และหากต้องการให้กระทรวงการคลังค้ำประกันก็เสนอมาให้พิจารณาได้
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2557 (ตุลาคม 2556-กรกฎาคม 2557) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,678,589 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 132,209 ล้านบาท หรือ 7.3% เนื่องจากภาษีที่จัดเก็บจากฐานการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าและอากรขาเข้าจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ ซึ่งเป็นผลจากการหดตัวของมูลค่าการนำเข้า ประกอบกับการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากผลประกอบการของภาคเอกชนไม่ขยายตัวเท่าที่คาดการณ์ไว้ส่งผลต่อการยื่นชำระภาษีจากผลประกอบการรอบปีบัญชี 2556
นอกจากนี้ภาษีที่จัดเก็บจากฐานการอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตรถยนต์และภาษีน้ำมันจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากอุปสงค์รถยนต์ในประเทศหดตัว และการขยายเวลาการตรึงราคาน้ำมันดีเซลเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน อย่างไรก็ดีการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่นยังคงสูงกว่าประมาณการ
นายกฤษฎากล่าวว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของกรมจัดเก็บจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนที่เหลือ ของปีงบประมาณอย่างไรก็ดีคาดว่ารายได้ของรัฐบาลทั้งปีงบประมาณ 2557 จะต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่ต่ำกว่าประมาณการในช่วงที่ผ่านมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี