ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แย้มแผนเสนอรัฐบาลใหม่ ไฟเขียวภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ยันไม่กระทบคนรายได้น้อย เน้นไปที่ที่ดินปล่อยรกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ อาจกำหนดอัตราภาษีสูงสุดที่ร้อยละ 2 ส่วนการปรับขึ้นเงินเดือนแก่ข้าราชการที่มีรายได้น้อยยังบอกไม่ได้ว่า จะสามารถปรับขึ้นเงินเดือนเมื่อใด
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่านอกเหนือจากภาษีมรดกที่กรมสรรพากรอยู่ระหว่างดำเนินการแล้ว ในส่วนของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น สศค.ก็อยู่ระหว่างเตรียมเสนอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาเช่นกัน เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่จะผลักดันกฎหมายดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างทางสังคมกระจายทรัพยากรหรือที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ พร้อมยันว่าไม่ได้เป็นการซ้ำเติมประชาชนให้เสียภาษีซ้ำซ้อนทั้งภาษีมรดกและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพราะกฎหมายยังเปิดช่องในการดูแลผู้มีรายได้น้อยอยู่เช่นเดิม
สำหรับร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เตรียมเสนอนั้นยังมีระยะเวลาให้ประชาชนได้ปรับตัว 2-5 ปีตามเดิม ส่วนอัตราภาษีที่จัดเก็บจะมีคณะกรรมการเป็นผู้กำหนดและประกาศใช้ตามมา โดยการออกเป็นกฎกระทรวงการคลัง ซึ่งเหลือเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่รัฐบาลใหม่จะตัดสินใจเท่านั้นคือการยกเว้นให้อาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่ได้รับการยกเว้นควรกำหนดที่มูลค่าบ้านไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือกำหนดขนาดพื้นที่ไม่เกิน 100 ตารางวา ส่วนที่เกินก็จะเข้าอัตราภาษีต่ำสุดเท่ากับที่จัดเก็บที่ดินจากเกษตรกร ซึ่งมีเพดานไม่เกินร้อยละ 0.5 โดยเบื้องต้นอาจจัดเก็บเพียงร้อยละ 0.1 ก็ได้ เพื่อไม่ให้ประชาชนมีภาระจนเกินไป ส่วนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์กำหนดเพดานไม่เกินร้อยละ 1 แต่เบื้องต้นอาจเก็บไม่ถึงครึ่งก็ได้
ขณะที่ที่ดินปล่อยรกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์นั้นกำหนดอัตราภาษีสูงสุดที่ร้อยละ 2 และปีแรกก็จัดเก็บไม่เต็มเพดานเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีเวลาอย่างน้อย 2 ปีกว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้เพื่อกระตุ้นให้ผู้มีที่ดินในครอบครองจำนวนมากขายหรือให้เช่าเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น ทางด้านการเกษตรหรืออื่นๆ
ด้านนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กระทรวงการคลังเตรียมเรียกเงินคืนเข้าคลังหลวงจากทุนหมุนเวียนส่วนราชการต่างๆ ที่มีผลการดำเนินงานกองทุนไม่ดี และ ทุนหมุนเวียนที่มีเงินเหลือจากการบริหารจำนวนมาก โดยกำหนดวงเงินในการเรียกคืนประมาณ 20% ของเงินทุน
ทั้งนี้ การเรียกเงินคืนเข้าคลังหลวงดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และเป็นส่วนหนึ่งของร่างพ.ร.บ.บริหารทุนหมุนเวียนที่กรมบัญชีกลางได้เสนอให้ระดับนโยบายกระทรวงการคลังได้พิจารณา โดยวัตถุประสงค์ของร่างกฎหมายดังกล่าวคือ เพื่อให้การบริหารทุนหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น สาระสำคัญคือ จะกำหนดให้มีแรงจูงใจด้านผลตอบแทนของกรรมการและผู้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ
“ปัญหาที่พบ คือ ส่วนราชการมักจะไม่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทุนหมุนเวียนนี้ เราจึงต้องเข้าไปดูแล โดยได้ส่งผู้แทนกระทรวงการคลัง และ จากสำนักงบประมาณ เข้าไปเป็นกรรมการ เพื่อกระตุ้นการดำเนินงาน ซึ่งก็ดีขึ้น และเรายังมีระบบประเมินผล โดยใส่แผนการประเมินเหมือนรัฐวิสาหกิจด้วย และขณะนี้ เราก็ร่างเป็นกฎหมายในการบริหารทุนหมุนเวียนเลย”
ปัจจุบัน ส่วนราชการต่างๆ มีทุนหมุนเวียนอยู่จำนวนประมาณ 95 ทุนหมุนเวียน มีเงินอยู่ในระบบถึง 4 ล้านล้านบาท ซึ่งทุนหมุนเวียนส่วนใหญ่จะฝากเงินนี้ในระบบสถาบันการเงิน เพื่อให้ได้รับอัตราดอกเบี้ย แต่ในทางกลับกัน กระทรวงการคลังก็ต้องไปกู้เงินมาเพื่อจ่ายให้ทุนหมุนเวียนเหล่านี้ ซึ่งต้นทุนเงินกู้จะสูงกว่าการฝากเงิน
สำหรับความคืบหน้าของการปรับขึ้นเงินเดือนแก่ข้าราชการที่มีรายได้น้อยตามนโยบายของคสช. ยังบอกไม่ได้ว่า เราจะสามารถปรับขึ้นเงินเดือนเมื่อใด เพราะยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในแง่ของรายละเอียด และต้องรอการตัดสินใจในระดับนโยบาย ส่วนเม็ดเงินที่จะนำมาใช้นั้น หากไม่มีรายได้เพิ่ม ก็คงต้องตัดจากงบประมาณ หรือ อาจใช้วิธีการกู้เพิ่มเติม
นายมนัสยังกล่าวถึง การเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2557 (ต.ค. 2556-ก.ย. 2557) ที่ใกล้เข้าช่วงสิ้นปีงบประมาณแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ 90.83% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 95%
ส่วนงบลงทุนคาดว่าจะเบิกจ่ายได้เพียง 65.09% จากเป้า 82% เนื่องจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองจนทำให้ไม่สามารถเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมายได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี