คสช.ชูโรดแมปแจงนักลงทุนต่างชาติ ยันเลือกตั้งเป็นไปตามแผนต้นปี 59 แบงก์ชาติเชื่อ 12 เดือนข้างหน้าจีดีพีโต 5%หากรัฐเดินหน้าทำงานต่อเนื่อง ทุกฝ่ายช่วยกัน ตลาดหุ้นยืนยันกฎอัยการศึกไม่มีผลต่อนักลงทุน
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ฝ่ายเศรษฐกิจกล่าวให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนในงาน Thailand Focus 2014 ว่าการทำงานของ คสช. เป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ 3 ระยะ โดยจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้แล้วเสร็จในปลายปีหน้า เพื่อกำหนดการเลือกตั้งให้ทันในต้นปี 2559 พร้อมเน้นการบริหารประเทศใน 4 ด้านคือ การพัฒนาระบบขนส่งทุกด้าน ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ การพัฒนาโครงสร้างพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนต่างชาติ ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ของบีโอไอ พัฒนาโครงข่ายไอซีที และพร้อมต่อสู้ปัญหาคอร์รัปชั่น
“เชื่อหากทำตามแผนได้ ไตรมาส 4 ปีนี้การขยายตัวของเศรษฐกิจหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)จะขยายตัวได้ 3-3.5 และทั้งปีขยายตัว 2% ส่วนปีหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเป็น
3.5-4% ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นไทยมากขึ้น หลังมีการพบปะและชี้แจงนักลงทุน ทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลี ยุโรป ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ส่วนการยกเลิกกฎอัยการศึกต้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้ก่อน”
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่าการขยายตัวของจีดีพีในช่วง 12 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะโต 5% ซึ่งไม่ถือว่าสูงเกินไป เนื่องจากเปรียบเทียบกับฐานที่ค่อนข้างต่ำในปีนี้ คงจะได้เห็นเศรษฐกิจไทยเข้าสู่การเติบโตได้เต็มศักยภาพตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป และมีความเป็นไปได้ที่ปีนี้ทั้งปีจะโต 2% หากการดำเนินงานต่างๆ ของภาครัฐเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามมองว่าศักยภาพเศรษฐกิจไทยในแต่ละปีมีโอกาสจะเติบโตในระดับ 4-4.5% แต่ที่ผ่านมาต้องเผชิญกับปัญหาทางการเมืองรวมถึงปัญหาภัยธรรมชาติทำให้จีดีพีโตได้ค่อนข้างต่ำ โดยจีดีพีในไตรมาสแรกติดลบ 0.6% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 0.4% ทำให้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ประมาณ 0% ทั้งนี้ คาดว่าไตรมาส 3 และ 4 จะอยู่ที่ 3-4% และทั้งปีจะอยู่ที่ 2% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะเติบโต 4-5%
ส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับ 83% ต่อจีดีพีนั้น มองว่าตัวเลขที่ปรับขึ้น มาจากจีดีพีที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อนำมาเฉลี่ยกันแล้ว ทำให้ตัวเลขออกมาค่อนข้างสูง แต่เริ่มชะลอลงเมื่อกลางปีที่แล้ว อีกทั้งสถาบันการเงินก็มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นจึงไม่น่ากังวลมากนัก
“ปัจจัยเสี่ยงยังคงมี แต่หากพื้นฐานเศรษฐกิจดี ก็จะไม่เสี่ยงมากเกินไป อีกทั้งเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ อัตราการว่างงานน้อย ธนาคารพาณิชย์เข้มแข็ง หนี้สาธารณะยังบริหารจัดการได้ เงินสำรองยังสูง เศรษฐกิจมหภาคมั่นคงพอสมควร แต่ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ไม่ประมาทด้วย ส่วนความเสี่ยงเรื่องของเงินทุนไหลออก มองว่าเศรษฐกิจประเทศหลัก มีความแตกต่างกัน โดยในประเทศสหรัฐเริ่มกลับมาฟื้นตัว แต่ในยุโรปและญี่ปุ่นยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่ไทยยังมีเสถียรภาพสูง อัตราแลกเปลี่ยนเงินยังมีเสถียรภาพ ซึ่งธปท.ได้เตรียมพร้อมเครื่องมือ และระบบแลกเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น” นายประสาร กล่าว
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง ควรมีการหารือร่วมกันของแต่ละฝ่าย แล้วค่อยออกมาเป็นนโยบายเดียวกัน เพื่อให้ครบถ้วนทั้งในแง่ของรายได้และรายจ่าย ซึ่งด้านรายจ่ายน่าจะขับเคลื่อนได้เป็นปกติ ไม่เหมือนช่วงก่อนหน้าที่มีปัญหาการเมือง หากนโยบายการคลังขับเคลื่อนได้ก็จะเป็นภาระต่อนโยบายทางการเงินน้อยลง ส่วนการจัดเก็บรายได้ ต้องพิจารณาให้เพื่อรักษาสมดุลด้านการคลัง ส่วนการปรับขึ้นอัตราภาษีหากทำในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม อาจจะเป็นตัวหยุดการเติบโตของเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้ การที่ยังไม่ยกเลิกกฎอัยการศึก เชื่อว่ายังมีความจำเป็นที่ยังต้องใช้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย มองว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องทำให้ไม่เป็นภาระในอนาคต และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หากรัฐมีการลงทุนให้เกิดขึ้นจริง ก็จะทำให้เอกชนลงทุนตาม
“ปีหน้าไทยน่าจะสามารถเติบโตเข้าสู่ระดับศักยภาพได้ถ้าเหตุการณ์ต่างๆสงบและเราช่วยกันทำงานทุกอย่างมันก็เต็มศักยภาพได้อยู่แล้ว” นายประสารกล่าว
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าการใช้กฎอัยการศึกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพราะการตัดสินใจจะประเมินที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า
การจัดงาน Thailand Focusครั้งนี้มีบริษัทจดทะเบียนร่วมงานกว่า 60 บริษัท และมีนักลงทุนสถาบันเข้าร่วมงาน 120 กว่าบริษัท คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งตอกย้ำว่าได้รับความสนใจในการลงทุนค่อนข้างมาก เพราะเห็นว่าภาครัฐเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนที่ได้วางไว้
“นักลงทุนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานคุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว และต้องการมาฟังแนวทางการปฎิรูปด้านๆ ของคสช.ส่วนใหญ่มีทัศนคติดีขึ้นเรื่อยๆ จึงมั่นใจว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาถือครองในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งเห็นได้จากช่วงมูลค่าการถือครองในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 1.2 พันล้านดอลล่าสหรัฐ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ” นางเกศรา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี