นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า การจัดเก็บภาษีของกรมศุลกากรในปีงบประมาณ 2557 ในช่วง 11 เดือน ที่ผ่านมา (ต.ค. 2556-ส.ค. 2557) ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 5-7% เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจทำให้การนำเข้าหดตัวรุนแรง ซึ่งในงบประมาณนี้เหลือก.ย.เพียงเดือนเดียว โดยจะเร่งเก็บให้ได้มากที่สุด จากเป้าหมายทั้งปี 1.1 แสนล้านบาท เป็นเป้าที่ลดลงจากเอกสารงบประมาณที่ตั้งเป้าไว้ 1.3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ได้มีกำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เก็บภาษีสินค้าอ่อนไหวให้ถูกต้องมากที่สุด ทั้งการนำเข้ารถหรูราคาแพง การนำเข้ารถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ที่มีการหลีกเลี่ยงติดอุปกรณ์ดับเพลิงเข้ามาทำให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า แต่เมื่อนำสินค้าออกไปก็ไปถอดอุปกรณ์ดับเพลิงออก ซึ่งถือเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีนำเข้า
นอกจากนี้ ยังมีสินค้าประเภทเหล็กรีดร้อนที่ได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการนำไปใช้ให้ถูกต้อง เพราะพบว่ามีการเสียภาษีนำเข้าต่ำ และนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น จากที่ต้องนำไปใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่า
“การเพิ่มประสิทธิภาพเก็บภาษี โดยการเข้มงวดกับสินค้าอ่อนไหวทำให้การเก็บภาษีเดือน ก.ค. ที่ผ่านสูงที่สุดของการเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2557 โดยเก็บภาษีได้ถึง 9,000 ล้านบาท จากที่ผ่านมาเก็บได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท เท่านั้น ซึ่งการเข้มงวดเก็บภาษีสินค้าอ่อนไหวในช่วงเวลาที่เหลือจะทำให้การเก็บภาษี ได้ตามเป้า”นายสมชัย กล่าว
นอกจากนี้ กรมศุลกากร ยังเร่งระงับคดีภาษีกว่า 1,000 คดี ซึ่งจะให้ได้เงินภาษีเพิ่ม รวมถึงการเร่งประมูลขายรถยนต์ของกลางทอดตลาด ที่รอบแรกเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้รายได้ประมาณ 600 ล้านบาท และการประมูลล่าสุดคาดว่าจะได้รายได้อีก 300 ล้านบาท
นายสมชัยกล่าวว่า เป้าการเก็บภาษีของกรมศุลกากรในปีงบประมาณ 2558 จำนวน 1.1 แสนล้านบาทคาดว่าจะได้ตามเป้า แม้ว่าอัตราภาษีนำเข้าจะลดลงตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) แต่ที่ผ่านมามีผู้ใช้สิทธิจำนวนไม่มาก ทำให้กระทบกับการเก็บภาษีของกรมศุลกากรน้อย นอกจากนี้กรมศุลกากรยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บได้อีกมาก ทำให้การเก็บภาษีที่ปีละ 1 แสนกว่าล้านบาท ยังทำได้อีกหลายปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 1 ก.ย.กรมศุลกากร ได้เปิดประมูลขายทอดตลาดรถยนต์ของกลาง 236 คันซึ่งเป็นรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2557 กรมได้นำรถของกลางที่เหลือจากการประมูลครั้งที่ผ่านมาและจับกุมได้เพิ่มเติมนำออกประมูล
โดยรถยนต์ที่นำมาเปิดประมูล 3 อันดับแรก ประกอบด้วย รถยนต์ที่จะประมูลในลำดับที่ 1 ได้แก่ รถยนต์ยี่ห้อ เบนท์ลีย์ รุ่น คอนติเนนทัล จีที 6000 ซีซี สีดำ ปี 2005 เกียร์ออโต เปิดประมูลด้วยราคา 2.26 ล้านบาท ปิดราคาประมูลได้ที่ราคา 6.5 ล้านบาท, รถยนต์ยี่ห้อ ออดี้ คิว 5 รุ่น 2000 ซีซี ปี 2010 สีขาว เกียร์ออโต เปิดประมูลด้วยราคา 920,000 บาท ปิดราคาประมูลได้ที่ราคา 1.65 ล้านบาท และ รถยนต์ยี่ห้อ บีเอ็มดับเบิลยู ปี 2008 สีขาว เกียร์ออโตเปิดประมูลด้วยราคา 1.61 ล้านบาท ปิดราคาประมูลได้ที่ราคา 3.1 ล้านบาท
นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังได้กำหนดกติกาการประมูลว่า หากรถยนต์ที่ราคาเปิดประมูลต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ให้วางเงินค้ำประกันการประมูลคันละ 100,000 บาท และรถยนต์ที่ราคาเปิดประมูลตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ให้วางเงินค้ำประกันการประมูลคันละ 200,000 บาท และมีสิทธิประมูลรถยนต์ที่ราคาเปิดประมูลต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทได้ โดยรถยนต์ที่มีราคาประมูลสูงสุดของงานคือ ลัมโบกินี่ รุ่น อเวนทาดอร์ เครื่อง 6500 ซีซี สีดำ ปี 2012 เปิดประมูลด้วยราคา 19,400,000 บาท สามารถปิดราคาประมูลได้ที่ราคา 19.7 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี