นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการธ.ก.ส.ได้เห็นชอบวงเงินเพื่อปล่อยสินเชื่อในล็อตแรกให้กับสหกรณ์นำไปรวบรวมยางพาราแล้ว 281 แห่ง วงเงิน 2,880 ล้านบาท ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีมติให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อภายใต้แนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ 2 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้รวบรวมยางวงเงิน 10,000 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราวงเงิน 5,000 ล้านบาท
ธ.ก.ส.จะเร่งดำเนินการปล่อยเงินกู้ในส่วนที่เหลือ โดยเดือนกันยายนตั้งเป้าปล่อยกู้ 4,000 ล้านบาท เดือนตุลาคม 2,000 ล้านบาท และเดือนพฤศจิกายน 1,000 ล้านบาท รวมแล้ว 442 แห่ง เริ่มจ่ายเงินกู้ตามโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน2557 – 30 มิถุนายน 2558กำหนดคืนเงินกู้ไม่เกิน 12 เดือน อัตราดอกเบี้ย 4% โดยสหกรณ์จะรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 1% ต่อปี และรัฐบาลอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ให้ 3% ต่อปี
ส่วนโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราวงเงิน 5,000 ล้านบาท จะสนับสนุนให้สหกรณ์ที่เข้มแข็งและมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจรวบรวมและแปรรูปยางเบื้องต้น 24 แห่ง แบ่งเป็น การปรับปรุงโรงงาน 3,500 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 3.5% โดยสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี กองทุนพัฒนาสหกรณ์ 0.49% และรัฐบาลรับภาระ 3% ต่อปี ส่วนวงเงินอีก 1,500 ล้านบาท จะเป็นสินเชื่อให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรนำเงินไปรวบรวมและรับซื้อยาง อัตราดอกเบี้ย 4% โดยสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ย 1% ต่อปี และรัฐบาลรับภาระ 3% ต่อปี
“ทั้ง 2 โครงการจะช่วยลดจำนวนยางพาราได้ 1.3 แสนตัน และเมื่อรวมกับโครงการของธนาคารออมสินที่จะออกมาช่วยอีก 1.5 หมื่นล้านบาท จะทำให้ยางพาราออกจากระบบ 2-3 แสนตัน จากทั้งระบบ 4 ล้านตัน คาดว่าจะช่วยไม่ให้ราคายางตกต่ำไปมากกว่านี้ ซึ่งอาจจะสูงขึ้นได้บ้าง แต่ไม่ใช่ในทันที ส่วนหนึ่งปัญหามาจากจีนซึ่งนำเข้ายางเป็นอันดับ 1 ของไทย แต่กลับได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกจนทำให้นำเข้ายางน้อยลง ” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากที่คสช.ได้อนุมัติยังมีอีก 10 โครงการ ที่เน้นบูรณาการอย่างยั่งยืน และที่จะดำเนินการในระยะต่อไป เช่น การลดพื้นที่ปลูกยางพารา โดยการโค่นยางเก่า ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตั้งเป้าหมายไว้เบื้องต้น 1 แสนตัน รวมถึงแนวคิดการจัดตั้งสถาบันวิจัยเรื่องยางเพื่อปรับโครงสร้างในระยะยาว
นอกจากนี้จากปัญหาราคายางตกต่ำทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลงมีผลต่อการชำระหนี้ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่มีหนี้เงินกู้อยู่กับ ธ.ก.ส.ประมาณ 360,000 ราย คิดเป็นเงิน 40,000 ล้านบาท ธ.ก.ส. จึงผ่อนปรนการชำระหนี้ เช่น ปรับตารางการชำระหนี้ใหม่และหรือขยายระยะเวลาชำระหนี้โดยจะพิจารณาให้สอดคล้องกับศักยภาพของลูกค้าแต่ละราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี