‘สศอ.’ชี้ทางรอดอุตสาหกรรมไทย
เน้นทำวิจัย-พัฒนานวัตกรรม
จับมือกลุ่มประเทศ‘CLMV’
นายสมชาย หาญหิรัญ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในงานสัมมนาเรื่อง “อยู่หรือไป? อนาคตอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” จัดโดย สศอ. และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ว่า อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง ในอนาคตจะเป็นทั้งตลาดและฐานการผลิตที่สำคัญของหลายอุตสาหกรรม และ มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก จึงเป็นโอกาสที่อุตสาหกรรมของประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยจะเติบโตได้อีกมาก
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการหลายราย ทั้งไทยและต่างชาติ ประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดและขยายฐานการผลิตในอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) ก่อนหน้าการเริ่มต้นเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างเป็นทางการในปี 2558 ซึ่งการเชื่อมโยงตลาดและฐานการผลิตในอาเซียนเป็นสิ่งจำเป็น แต่ที่ผ่านมาการปรับปรุงกฎระเบียบและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังตามไม่ทัน ภาครัฐจึงควรเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้เอกชนไทยเสียโอกาสและความสามารถในการแข่งขัน
โดยสิ่งที่ภาคเอกชนอยากให้เกิดขึ้น อาทิ การเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกทั้งหมดเข้าด้วยกัน ภายใต้
ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว หรือ National Single Window ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดระยะเวลา และ
ค่าใช้จ่าย ให้กับภาคเอกชนได้มาก นอกจากนี้ในการสัมมนายังได้มีการประเมินอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งไทยยังจะเป็นศูนย์กลางการผลิตของอาเซียนต่อไป เนื่องจากมีความได้เปรียบจากการมีคลัสเตอร์ที่เข้มแข็ง ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ แต่จะต้องแข่งขันกับอินโดนีเซียมากขึ้น และนักลงทุนญี่ปุ่นเริ่มใช้ยุทธศาสตร์ขยายฐานการผลิตชิ้นส่วนที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตไม่สูง แต่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้นไปยังกลุ่มประเทศ CLMV แล้วให้ไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับฐานการผลิตใหม่เหล่านี้ “เอกชนไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ ในการขยับขึ้นเป็นผู้บริหารจัดการเครือข่ายการผลิตในภูมิภาค ไปวางระบบการผลิตและสอนงานพนักงานในกลุ่มประเทศ CLMV โดยใช้ฐานความรู้ความเชี่ยวชาญของตัวเองที่สั่งสมมานาน ควบคู่ไปกับการทำวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมให้มากขึ้น ซึ่งมีเอกชนไทยกลุ่มหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญของตนในการบริหารจัดการเครือข่ายการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ความท้าทายต่อไปของเอกชนกลุ่มนี้คือ การขยับไปเป็นผู้ที่สามารถยื่นข้อเสนอแก่ผู้ว่าจ้างเกี่ยวกับการเลือกใช้วัตถุดิบ การกำหนดสเปกต่างๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมาก ในขณะที่เอกชนกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่นสตรี ควรเน้นเจาะตลาดอาเซียนมากขึ้น และพยายามถอดแบบเสื้อผ้าของแบรนด์ชื่อดังให้เร็วขึ้น เพื่อโอกาสทางธุรกิจ ส่วนเอกชนกลุ่มสิ่งทอ จะต้องเน้นวิจัยพัฒนาด้านวัสดุศาสตร์ให้ลงลึกไปถึงระดับเส้นใย” นายสมชาย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี