ชะลอสัมปทานปิโตรเลียม
ปฏิรูปพลังงานไล่บี้‘บิ๊กตู่’
‘รสนา’ชี้ผูกพันชาติ39ปี
ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศสภาธรรมาภิบาล สภาปฏิรูปพลังงานไทย นำโดย พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี
เดินทางไปหน้ากองทัพบก เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ผ่านทาง พ.อ.อภิชิต ภิญโญชีพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก เพื่อขอให้พิจารณาอนุญาตให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิในการปกป้องทรัพย์สินของแผ่นดินโดยไม่ผิดกฎอัยการศึก และขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบ
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยกเลิกต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่21 ในราชกิจจานุเบกษา และปลดกลุ่มทุนพลังงานทั้งชุด รวมถึงยกเลิก พรบ.ปิโตรเลียม2514ทั้งหมด
กลุ่มดังกล่าวยังได้ไปยื่นหนังสือถึง ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ ขอให้ตรวจสอบจริยธรรมและการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน และนายคุรุจิต นาครทรรพ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรณีประกาศให้สัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 โดยอ้างว่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะหมดไป พร้อมประกาศขึ้นราคาก๊าซโดยอ้างต้นทุนก๊าซหุงต้มที่มีราคาสูงขึ้น ถือเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนและลัดขั้นตอนไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เอื้อประโยชน์แก่คนบางกลุ่มบางพวก ขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 27 จัดกฎหมายอาญามาตรา 152 และมาตรา 157 รวมถึงจริยธรรมเจ้าหน้าที่รัฐในการบิดเบือนข้อมูลเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
พ.ญ.กมลพรรณ กล่าวว่า จากรายงานของบริษัทเชฟรอนพบว่า การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา และจากรายงานกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ พบว่ายังมีพื้นที่ที่ยังไม่ขุดเจาะอีก 84% ซึ่งกันข้ามกับการให้ข้อมูลของบุคคลทั้ง 3 นอกจากนี้ยังพบว่าเอกสารผลประกอบการของบริษัทผู้รับสัมปทานระบุว่าลงทุนไป 2 แสนล้าน แต่มีกำไรเฉพาะปีแรกถึงแสนกว่าล้านบาท อีกทั้งเห็นว่าการให้สัมปทานครั้งนี้ถือเป็นกรรมสิทธิของบริษัทผู้รับสัมปทานที่จะรายงานข้อเท็จจริงของเชื้อเพลิงว่ามีปริมาณเท่าใดก็ได้ โดยรัฐไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งรัฐควรจะใช้วิธีการแบ่งปันกรรมสิทธิเพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้ เพราะทั่วโลกก็ใช้วิธีการดังกล่าว
นายสงัด ปัถวี รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้ตรวจฯได้ตั้งคณะทำงานด้านพลังงานขึ้นมาตรวจสอบโดยเฉพาะตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมา โดยได้มีการข้อเสนอในเรื่องของการกองทุนน้ำมันไปแล้ว อย่างไรก็ตามหากคำร้องนี้ตรวจสอบแล้วพบว่าขัดรัฐธรรมนูญจริง ก็จะพิจารณาว่าจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปหรือไม่
วันเดียวกันหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โพสต์เฟตบุค ระบุ หลังมีการเสวนาเรื่องพลังงานรอบ4และรวบรวมบทสรุปข้อเสนอทั้ง 4ครั้ง ได้ 80ข้อ ก็จะนำเสนอต่อภาครัฐต่อไปเพื่อให้ได้รับรู้ความต้องการของประชาชน และในตอนนี้ขอให้ให้ชะลอการให้สัมปทานออกไปก่อน จนกว่ากระบวนการทางกฎหมายที่ภาคประชาชนเรียกร้องให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจะได้รับการแก้ไข ให้เหมาะสม
ขณะเดียวกันภาครัฐภาครัฐควรจะเผยข้อมูลการตกลงเรื่องผลประโยชนี่ภาครัฐควรจะได้รับให้ประชาชนได้ทราบเพื่อยุติข้อกังขาที่ว่า เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มผลประโยชน์ทางพลังงาน
ส่วนกระบวนการสำรวจหากจำเป็น เพื่อใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่า รัฐควรประกาศออกมาให้ชัดว่า ทุกบริษัทที่เข้ามาสำรวจจะไม่มีข้อผูกพันในการที่จะได้รับสัมปทาน หากข้อเสนอที่รัฐได้รับผลประโยชน์ไม่ดีพอ ไม่เป็นประโยชน์แก่แผ่นดินอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“ฉันว่างานนี้คุณประยุทธ์ต้องพูดเอง อธิบายเอง บอกให้ประชาชนเขาสบายใจไปเลยว่า ทุกบริษัทที่ยื่นขอสำรวจจะไม่ได้สิทธิพิเศษอะไรในการให้สัมปทาน มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขข้อตกลงผลประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้รับ และการสำรวจไม่ใช่การให้สัมปทาน ไม่มีข้อผูกพันใดๆ”หลวงปู่พุทธะอิสระ ระบุ
ด้าน นส. น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)จะนำเรื่องการต่อสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ให้สปช.ไปพิจารณาก่อน ว่า ก็ต้องรับฟังและตนจะให้ข้อมูลกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ ซึ่งคงใช้ระยะเวลาเกิน 2เดือน อย่างไรก็ตามระหว่างนี้เห็นว่ารัฐบาลควรชะลอการต่อสัมปทานรอบที่ 21 ออกไปก่อน เพราะหากดำเนินการไปแล้วจะมีผลผูกพันนานถึง 39 ปี เป็นการผูกพันบ้านเมืองในระยะยาว จึงควรทำอย่างรอบคอบ
ด้านน.ส.สารี อ๋องสมหวัง สปช.ด้านสังคม กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่จะชะลอเรื่องนี้ออกไปก่อน เพราะหากอนุญาตให้ทำสัญญาสัมปทานรอบที่ 21 ไปแล้ว เรามาเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ควรจะเป็นความเห็นพ้องของคนส่วนใหญ่ที่เห็นไปในทิศทางเดียวกัน ถือเป็นความคาดหวังของคนที่เห็นขัดแย้งในขณะนี้ ทุกฝ่ายจึงควรหารือถึงข้อเท็จจริงก่อนเพื่อให้ข้อยุติ
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการไปเยือนมิตรประเทศกัมพูชาอย่างเป็นทางการระหว่าง 30-31 ต.ค.นี้ ว่า จะไม่นำประเด็นความขัดแย้งเดิมไปพูดคุยกัน แต่จะเน้นพูดคุยในเรื่องความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ พลังงานในพื้นที่ทับซ้อน หรือผลประโยชน์ทางทะเล ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่จะพูดคุยถึงเรื่องความร่วมมือดังกล่าว เช่นอาจจะจัดแพคเกจการท่องเที่ยวร่วมกัน นอกจากนี้จะมีการหยิบยกเรื่องปัญหาการค้ามนุษย์ แรงงานต่างด้าวไปพูดคุยด้วย โดยเราจะดูแลทั้งระบบ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เดินทางไปจีน ว่า รัฐบาลส่งให้ไปเป็นตัวแทนด้านความมั่นคง ไม่ได้ไปส่วนตัว โดยประเด็นหลักจะไปพูดคุยเรื่องข้าว และยาง เรื่องนี้ทุกคนมีวิจารณญาณตนไม่ต้องห้าม แต่ถ้าเป็นตนก็ไม่ไปเจอ
เพื่อเรื่องข้อกฎหมายจะไปไกล่เกลี่ยได้อย่างไร
เมื่อถามว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการต่อสายเพื่อเคลียร์เรื่องคดีได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ต้องมาสายตรง บินกลับมาเลย”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี