ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นทุกๆ ปี ในขณะที่การเพิ่มกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้ามีไม่ทันกับความต้องการ ซึ่งทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พยายามเพิ่มกำลังการผลิต และเร่งให้เกิดโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ยังมีการต่อต้านจากชุมชนรอบข้าง โดยเฉพาะ “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” ที่คนไทยมีบทเรียนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะในอดีต
หากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า และ การเกิดโรงไฟฟ้าใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามแผนที่ กฟผ.วางไว้ อาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง อย่างเช่น 14 จังหวัดในภาคใต้อีกครั้งก็เป็นได้ ซึ่งการเกิดไฟฟ้าดับในภาคใต้ เกิดจากพื้นที่ภาคใต้ต้องพึ่งการส่งกระแสไฟฟ้าจากภาคกลางจำนวนหนึ่งซึ่งต้องผ่านระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงหากระบบส่งมีการขัดข้องจะมีความเสี่ยงต่อระบบส่งไฟฟ้าค่อนข้างสูง ดังนั้นภาคใต้จึงเป็นเป้าหมายหลักในการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาคใต้ที่มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ายังคงต้องพึ่งจากภาคกลางอยู่ในขณะนี้
เมื่อมาดูกำลังการผลิตไฟฟ้าของระบบแยกตามประเภทโรงไฟฟ้าของไทย จะพบว่าการผลิตไฟฟ้าจากพลังความร้อนร่วม มีกำลังการผลิตอยู่ที่2.12 หมื่นเมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 61% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังความร้อนมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 7.52 พันเมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 22% ของกำลังการผลิตทั้งหมด และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน อยู่ที่ 5.86 พันเมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 17% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีกราว 18% นั้น เป็นการผลิตไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ดีเซล, สายส่งเชื่อมโยงมาเลเซีย, พลังน้ำไทย, พลังน้ำลาว รวมถึงชีวมวลและพลังงานอื่นๆ
โดยเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าสูงที่สุด คือ ก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 2.39 หมื่นเมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 68% ขณะที่พลังงานหมุนเวียน ถ่านหินนำเข้า ลิกไนต์ น้ำมันเตา รับซื้อจากมาเลเซีย ดีเซล รวมกันอยู่ที่ประมาณ 13,696 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 32% เท่านั้นจึงทำให้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ปี 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 มีนโยบายชัดเจนที่จะลดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติลงเหลือ 56% โดยจะเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินและพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
จากข้อมูลปี 2555 พบว่า การใช้ถ่านหินจะมีต้นทุนผลิตไฟฟ้าอยูที่ 2.70-3.00 บาท/หน่วย นิวเคลียร์ 2.70-3.00 บาท/หน่วย ก๊าซธรรมชาติ 3.50-4.00 บาท/หน่วย ลม 5.00-6.00 บาท/หน่วย แสงอาทิตย์ 8.00-9.00 บาท/หน่วย จึงเห็นได้ว่านิวเคลียร์มีต้นทุนผลิตไฟฟ้าต่ำสุดแต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าจึงมีความเป็นไปได้มากว่า แต่ขึ้นอยู่กับ กฟผ.ว่าจะสื่อสารและทำความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินและความปลอดภัยกับชุมชนรอบข้างได้อย่างไร
ทั้งนี้จากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำและส่งผลดีกับค่าไฟที่ถูกลงของคนไทยในอนาคต ทาง กฟผ. จึงเร่งผลักดันให้เกิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยมุ่งไปที่ภาคใต้เป็นเป้าหมายหลักแทนการรับกระแสไฟฟ้าจากพื้นที่ภาคกลางเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับภาคใต้ โดยปัจจุบันโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ขนาด 800 เมกะวัตต์ ได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนครั้งที่ 3 แล้ว โดยจะมีการจัดทำแผนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ อีเอชไอเอ เพื่ออนุมัติตามขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จ ประมาณปลายปี 2562 หลังจากนั้นในปี 2565 จะเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา ขนาด 1,000 เมกะวัตต์ และในปี 2568 จะเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา โรงที่ 2 อีก 1,000 เมกะวัตต์ โดยในส่วนของโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา นั้น จะมีการจัดเวทีกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพโดยสาธารณะ (ค.1) (Public Scoping) ของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา (โรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด) และโครงการท่าเทียบเรือสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา ซึ่งหากเกิดขึ้นได้จริงจะสามารถลดความเสี่ยงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้ระยะยาว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25-29 ต.ค.2557 ที่ผ่านมา กฟผ.ได้นำคณะสื่อมวลชนไปศึกษาโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศผู้นำด้านนวัตกรรมด้านพลังงาน และมีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเยอรมนีได้เพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นโรงไฟฟ้าพื้นฐานที่ผลิตไฟ่ฟ้าควบคู่พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น และยังแสดงให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีมากถึง 29 แห่งในเยอรมนี สามารถอยู่ร่วมกันกับชุมชนได้อย่างปกติ ไม่มีมลภาวะเป็นพิษแต่อย่างใด
จากข้อมูลล่าสุด โรงไฟฟ้าต่างๆ ภายในประเทศ “เยอรมนี” มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และชีวมวลต่างๆ กำลังการผลิตรวมกันไม่ต่ำกว่า 1.75 แสนเมกะวัตต์ โดยในส่วนนี้ราว 40-50% หรือประมาณ 8.97 หมื่นเมกะวัตต์ เป็นกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าประเทศถ่านหินและก๊าซ ส่วนที่เหลืออีกราว 30-40% หรือประมาณ 7.2 หมื่นเมกะวัตต์ เป็นกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล (Biomass) และพลังงานน้ำ (Hydro Power)
จากการเข้าชมโรงไฟฟ้าถ่านหิน Niederausseem พบว่า มีกำลังการผลิตรวม 3,680 เมกะวัตต์ มีการใช้ถ่านหินปีละ
30 ล้านตัน และเป็นการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ซึ่งมีการปล่อยมลพิษน้อยทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (So2) ฝุ่นละอองต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ ทำให้ไม่มีปัญหาจากชุมชนโดยรอบ ซึ่งก่อนก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งนี้ก็ถูกต่อต้านจากชุมชนรอบข้างเช่นเดียวกับประเทศไทย แต่ทางโรงไฟฟ้ามีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงกระบวนการ เทคโนโลยี ขั้นตอนในการผลิตกระแสไฟฟ้าว่ามีความปลอดภัยกับชุมชน รวมทั้งยังมีเงินสนับสนุนความช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆ กับชุมชน และดึงคนในพื้นที่เข้าร่วมงานในโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ชุมชนเองยังได้ประโยชน์จากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่โรงไฟฟ้าจะต้องเสียให้กับรัฐในการพัฒนาประเทศและชุมชนอีกทางด้วย
ซึ่งที่ผ่านมาทาง กฟผ.เองก็มีการเข้าหาชุมชนเหมือนที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน Niederausseem ได้ดำเนินการเช่นกันแต่ยังถูกคัดค้านจากบางกลุ่มอยู่ การคัดค้านเกิดจากสาเหตุอะไรนั้น คงเป็นการบ้านที่ทาง กฟผ.เองต้องเร่งและสร้างความเข้าใจให้เห็นถึงความสำคัญ และกระบวนการผลิตไฟฟ้าถ่านหินที่ไร้มลพิษ ให้ชุมชนเข้าใจ และเห็นด้วย ก่อนที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะมีมากกว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าในอนาคต หรือจะปล่อยให้คนไทยใช้ไฟฟ้าในราคาที่สูงขึ้น หากยังคงต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก
คณธัช วุฒิวรารักษ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี