“ข้าว-ประมง-สิ่งทอ-อัญมณี”อาการหนัก
ต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้ ไทยถูกอาเซียนแย่งตลาดจีน
ม.หอการค้าไทนย เผยผลวิเคราะห์การแข่งขันของสินค้าไทยและอาเซียน ในตลาดจีน ชี้อีก 5 ปีข้างหน้า ส่วนแบ่งการตลาดของไทยจะลดลง เหตุโดนชาติสมาชิกในอาเซียนแย่งส่วนแบ่งตลาดไป โดยเฉพาะกลุ่มประเทศน้องใหม่ ทั้งลาว พม่า กัมพุชา เนื่องจากต้นทุนผลิตต่ำกว่า สินค้าหลายชนิดอาการหนัก ทั้งข้าว ประมง สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย รองเท้า และอัญมณี เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยบทวิเคราะห์การแข่งขันสินค้าไทยและอาเซียน ในตลาดจีนในอีก 5 ปีข้างหน้า (2558-2562) ภายใต้กรอบกรอบ FTA อาเซียน-จีน ว่า ในปี 2562 มูลค่าตลาดการค้าของจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันที่มีมูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอาเซียนมีส่วนแบ่งตลาดในจีน 10% โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาด 1.95 % เป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย มีสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม และคาดว่าในปี 2562 ส่วนแบ่งตลาดของอาเซียนในจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 11% และส่วนแบ่งตลาดของไทยจะเพิ่มขึ้น 0.02 % เป็น 1.97% แต่อันดับจะร่วงลงมาอยู่ที่ 4 ของกลุ่มอาเซียน เพราะอินโดนีเซีย และเวียดนาม จะขยับตัวขึ้นมาแทน ขณะเดียวกันคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ประเทศในกลุ่มอาเซียนอาจจะขาดดุลการค้ากับจีนไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะจะนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น
สำหรับการส่งสินค้าต่างๆ ไปจีน การแข่งขันในอาเซียนจะมีสูงขึ้น โดย 5 ปีข้างหน้า ตลาดข้าวไทยในจีน ประมง สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย รองเท้า และอัญมณี จะเสียหายมากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะได้รับความเสียหาย, กระดาษ จะเสียหายลดลง, พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ จะได้ประโยชน์ลดลง, ขณะที่ยางและผลิตภัณฑ์ยาง จะได้รับประโยชน์, ส่วนกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์มากขึ้น คือ มันสำปะหลัง ผลไม้ และอาหารแปรรูป ดังนั้นจึงทำให้ใน 5 ปีข้างหน้าไทยจะเสียหายจากการแข่งขันสินค้ากับอาเซียนในตลาดจีนรวม 3,629.3 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่ปัจจุบันไทยได้ประโยชน์อยู่ที่ 1,857.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
“ในอีก 5 ปีข้างหน้ากลุ่มอาเซียนใหม่ หรือ CLMV จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจีนจากกลุ่มอาเซียนเก่า เพราะกลุ่ม CLMV เริ่มมีศักยภาพทางด้านแรงงาน และคุณภาพทางด้านการผลิตจากประเทศต่างๆ ที่เข้าไปลงทุน ทั้งจากนักในอาเซียน และนอกอาเซียน อย่าง เกาหลี ญี่ปุ่น ที่เข้าไปลงทุน ซึ่งไทยก็เป็นประเทศที่เสียหายมาก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีการใช้แรงงานเป็นหลัก คือ สิ่งทอ เสื้อผ้า และรองเท้า ส่วนตลาดข้าวก็ต้องเสียส่วนแบ่งให้ประเทศ เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์”
อย่างไรก็ตามทางศูนย์มีข้อเสนอแนะผู้ประกอบการไทยที่ต้องการไปทำธุรกิจที่จีนว่า ควรต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคและรสนิยมเป็นรายมณฑลและรายสินค้า, ควรตั้งศูนย์กระจายสินค้าไทยตามเมืองสำคัญของจีน, จำเป็นต้องรักษาและให้ความสำคัญกับมาตรฐานสินค้าไทยและตราสินค้าของไทย และต้องปรับปรุงรูปแบบการทำการตลาดเชิงลึก เช่น แผ่นพับประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูลถึงผู้บริโภคจีน ส่วนด้านภาครัฐนั้นควรเข้ามาช่วยเหลือโดยการหาศูนย์รวมการค้าให้ผู้ประกอบการไทยในตลาดจีน เช่น การทำหาตึกให้เป็นศูนย์รวมสินค้าไทยโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันรัฐควรเข้าไปประสานงานกับผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปตั้งศูนย์กระจายสินค้าในจีนแล้ว เพื่อหาวิธีร่วมมือช่วยเหลือกัน, ภาครัฐต้องเข้าไปศึกษารสนิยมของผู้บริโภคจีน และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรต้องเร่งใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเป็น 0 ให้มากขึ้น
นายอัทธ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์ส่งออกว่า ในปี 2557 ตัวเลขส่งออกของไทยไม่น่าจะติดลบ แต่ก็น่าจะต่ำกว่า 1% เนื่องจากในไตรมาสที่ 4/2557 และไตรมาสที่ 1/2558 เป็นช่วงเทศกาล ทั้ง คริสต์มาส ปีใหม่ วาเลนไทน์ ซึ่งน่าจะมีคำสั่งซื้อเข้ามามาก ขณะที่ในปี 2558 ส่งออกน่าจะขยายตัวได้ 4% แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจาก ตลาดอียู ยังฟื้นได้ไม่ดี เศรษฐกิจญี่ปุ่น ยังไม่ฟื้นตัว เงินเฟ้อต่ำ และปีหน้าจีนจะเน้นการลงทุนในประเทศมากขึ้น ส่วนจีดีพีปี 2558 คาดว่าจะขยายตัวที่ 4-5% หากส่งออกขยายตัวได้ 4% รัฐมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และมีการปรับเงินเดือนข้าราชการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี