ชี้งบลงทุนรัฐไม่ไหลลื่นเศรษฐกิจนิ่งแน่-นโยบายดอกเบี้ยต้องรอบคอบ
คลังเตือนปี’58ตลาดเงินป่วน
กระทรวงการคลังชี้ ปี’58 ต้องระวังความผันผวนในการเงิน เหตุตลาดไปคนละทาง ชี้สหรัฐเศรษฐกิจฟื้น มีแนวโน้ม ลดคิวอี ขยับดอกเบี้ย ส่วน ยุโรป จีน ณี่ปุ่น ยังแย่ต้องอัดเม็ดเงินเข้าระบบอีก ส่งผลค่าเงินปั่นป่วน ขณะที่ไทยต้องพึ่งการลงทุนจากโครงการรัฐ จีดีพี โตได้ 4% งบราชการต้องเข้าระบบ 3-4 แสนล้าน รัฐวิสาหกิจอีก 2.9 แสนล้านต้องคืบหน้า
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)เปิดเผยว่า สศค. คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2558 มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี อัตรา 4% ต่อปี เนื่องจากฐานที่ต่ำในปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 1.4% ต่อปี เมื่อคิดเฉลี่ย 2 ปีรวมกันเศรษฐกิจไทยโตได้ไม่ถึงปีละ 3% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทยที่โต 4.5% ต่อปี
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจในปี 2558 จะเจอผลกระทบกับความผันผวนอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดการเงินและตลาดหุ้น เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น และคาดว่าจะลดมาตรการคิวอีลงอีก ทำให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เงินทุนไหลออกจากไทย ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากทุกประเทศในยุโรปต้องพึ่งเยอรมนีเป็นหลัก ซึ่งเศรษฐกิจยุโรปมีปัญหามาก คาดว่าอาจจะต้องทำมาตรการคิวอีเพิ่มขึ้นอีก เช่นเดียวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่อยู่ในภาวะถดถอย เนื่องจากเศรษฐกิจไตรมาส 2 และ 3 ติดลบติดต่อกันสองไตรมาส คาดว่าเมื่อได้รัฐบาลใหม่จะมีการดำเนินการมาตรการคิวอีเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เงินทุนผันผวนมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจจีนย่ำแย่กว่าที่คิด มีการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และจีนยังมีความเสี่ยงฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวิกฤติปี 2540
“ปีหน้าตลาดเงินตลาดทุนจะมีความผันผวนมากขึ้น เพราะนโยบายการเงินของโลกในปีหน้าจะมี 2 ทิศทาง คือเศรษฐกิจสหรัฐที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะเห็นทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่อาจทำให้เม็ดเงินไหลกลับไปยังสหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาท ขณะเดียวกันยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ที่เศรษฐกิจยังอ่อนแอ จะใช้มาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ทำให้เกิดสภาพคล่องในตลาดเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเทียบกับ ยูโร และเยน ดังนั้น ผู้ส่งออกและนำเข้าสินค้าต้องใช้ความระมัดระวัง”
นายเอกนิติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี2558จะโตได้มากกว่า 4% ต้องขึ้นอยู่กับมาตรการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุนของหน่วยราชการ 3-4 แสนล้านบาท และ งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 2.9 แสนล้านบาท ที่จะเข้าสู่ระบบในปีหน้า หากทำได้ตามเป้าหมายอาจทำให้เศรษฐกิจโตได้มากว่า 4% เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากราคาสินค้าเกษตรของไทยตกลง เป็นปัญหาให้ เกษตรกรมีรายได้ลดลงตามไปด้วย
“นโยบายด้านการคลังมีความสำคัญมาก โดยรัฐบาลจะต้องเร่งใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2558 ที่ต้องเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีกว่า 290,000 ล้านบาท เนื่องจากการใช้จ่ายของภาคเอกชน เริ่มเข้าสู่ระบบตั้งแต่ไตรมาส 3/2557 แล้ว แต่ยังขาดการลงทุนของภาครัฐที่จะเป็นแรงสนับสนุนจีดีพีปีโตเพิ่มขึ้นได้ เพราะที่ผ่านมาการลงทุนของภาครัฐเป็นตัวฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นรัฐควรจะเร่งลงทุน ในช่วงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ”
นอกจากนี้นโยบายการเงินต้องมีความจำเป็นสนับสนุนเศรษฐกิจไทย ซึ่งดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2% ต่อปี เพราะขณะนี้เงินเฟ้อไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการนโยบายดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากดอกเบี้ยระยะสั้นในประเทศ อยู่ในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ดอกเบี้ยระยะยาวโดยเฉพาะพันธบัตร อายุ 10 ปีขึ้นไป ดอกเบี้ยเป็นไปตามดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ
ด้านนายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการลดดอกเบี้ยนโยบาย
ของจีน ว่า เศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาชะลอลงตามที่ ธปท.ประเมินเอาไว้ โดยทางการจีนดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจการเงิน เพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลง โดยการปฏิรูปภาคการเงินที่สำคัญ คือ การควบคุมแหล่งเงินทุนในภาค Shadow Banking ซึ่งลดปริมาณการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและการควบคุมระดับหนี้รัฐบาลท้องถิ่นที่มีการกู้เงินนอกงบดุลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ละมณฑล ซึ่งจะลดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร นอกจากนี้ ทางการยังดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจจริง เพื่อลดการพึ่งพาการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพและเพิ่มบทบาทการบริโภคด้วย
นายจิรเทพ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมากิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนชะลอลงตามการลงทุน โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนตุลาคมขยายตัว 15.9% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจาก 16.1%
ในเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยังคงชะลอลงต่อเนื่องจากกำไรภาคธุรกิจที่ปรับลดลงและความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งทางการจีนเข้ามาดูแลโดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยเหลือต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ (SOEs) ซึ่งมีสัดส่วนการกู้ยืมผ่านธนาคารพาณิชย์สูง
ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนเหนือความคาดหมายของ ธปท. และตลาด โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนเพียงเล็กน้อย และปริมาณสินเชื่อไม่น่าจะปรับสูงขึ้นมาก เนื่องจาก ธนาคารพาณิชย์มีข้อจำกัดจากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to Deposit Ratio) แต่จะเป็นการลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของ SOEs ให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเงินของจีน อย่างไรก็ตาม การลดอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยแท้จริงหลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงเป็นบวก
“ธปท. ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 7-7.5% จากการควบคุมความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และนโยบายปรับสมดุลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Rebalancing) โดยน่าจะเป็นการชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปสะท้อนจากการออกมาตรการดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจควบคู่กับการเดินหน้าปฏิรูปอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาระดับการจ้างงานให้เหมาะสม”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี