นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า หนี้ภาคครัวเรือนในขณะนี้ไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากในช่วงหลังมีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง และ ธปท.มองว่า ยังไม่จำเป็นจะต้องออกกฎเกณฑ์เพิ่มเติม เพื่อควบคุมหนี้ครัวเรือนแต่จะใช้กลไกตลาดเข้ามาดูแล อย่างเรื่องข้อมูลเครดิต เพราะถ้าออกกฎมาควบคุมจะไปแทรกแซงกลไกตลาด
สำหรับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เมื่อสิ้นไตรมาส 3/57 อยู่ที่ 83% โดยมองระดับ หนี้ครัวเรือนของไทยในขณะนี้ ยังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากอัตราการเพิ่มขึ้น ได้ชะลอตัวลงตั้งแต่กลางปีก่อน ขณะที่คาดว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในปีหน้า จะทรงตัวจากระดับปัจจุบัน
นายประสารยังได้กล่าวอีกว่า ในปี’58 ธปท.ยังคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งยังมีแนวโน้มไม่สดใสนัก โดยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังถือว่าโชคดีที่เศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนยังมีความเข้มแข็ง เมื่อเทียบกับหลายภูมิภาคในโลก โดยมองว่าแม้ปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐ จะมีโอกาสในการเติบโตได้ดีกว่า แต่เศรษฐกิจสหภาพยุโรปยังมีความผันผวน ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้น ยังน่าเป็นห่วงในเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาจะเห็นแต่การดูแลในเรื่องนโยบายการเงิน
ขณะที่เศรษฐกิจของจีนยังชะลอตัว และต้องติดตามต่อไป และจากที่เศรษฐกิจของสหรัฐ มีแนวโน้มฟื้นตัวมากกว่าที่อื่นนั้น ก็จะต้องมาพิจารณาว่าจะใช้จุดนี้เป็นโอกาสต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้นนั้น ประเทศไทยต้องดูแลและสร้างสมดุลเศรษฐกิจ 4 ด้าน ได้แก่ นโยบายการเงินในรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย, ระบบสถาบันการเงิน ต้องดูแลคุณภาพสินเชื่อ, ฐานะการคลังของประเทศที่ต้องมีเสถียรภาพ ซึ่งไทยได้รับการยอมรับและมีความเชื่อมั่นจากต่างชาติในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งดูแลความสมดุลของดุลบัญชีเดินสะพัดด้วย
ส่วนแนวโน้มที่ไทยอาจจะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปเป็นปี’59 จากเดิมที่คาดว่าจะมีการจัดการเลือกตั้ง ได้ในปี’58 นั้น ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า ภาพรวมยังไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นซึ่งที่ผ่านมาหลายฝ่ายอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนตุลาคม 2557 ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 48.7 จาก 48.9 ในเดือนก.ย. โดยแนวโน้มลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยดัชนีฯ ยังต่ำกว่ำระดับ 50 และปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากผลประกอบการยังคงต่ำกว่ำภาวะปกติ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน ค่ำสั่งซื้อใหม่ในประเทศลดลง สอดคล้องกับการผลิตที่ลดลง ส่วนหนึ่งจากการใช้จ่ายในประเทศยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงเห็นว่าความต้องการจากตลาดในประเทศต่ำยังเป็นข้อจำกัดสำคัญอันดับ 1 ในการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนและการจ้างงาน
สำหรับในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการประเมินว่าภาวะธุรกิจจะปรับดีขึ้นจากปัจจุบัน โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 55.0 และสูงขึ้นจากเดือนก่อน โดยเกือบทุกองค์ประกอบมีค่าดัชนีเกินกว่า 50 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ส่วนหนึ่งจากนโยบายภาครัฐที่มีความชัดเจนขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี