สินเชื่อรายย่อย-ธุรกิจการค้าน่าห่วง-เหตุเศรษฐกิจยังชะลอตัว
แบงก์ชาติผวาหนี้เน่าพุ่ง
เผยภาพรวมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทยปี 2557 สินเชื่อคงค้างลดลง 11% หลังเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะสินเชื่ออุปโภคบริโภค ธปท.ยอมรับเป็นห่วงเรื่องหนี้เน่า ในกลุ่มลูกค้ารายย่อย และสินเชื่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภค แต่มั่นใจแบงก์พาณิชย์รับมือได้ เพราะได้สั่งให้กันสำรองเพิ่มไว้แล้ว กสิกรไทย คาดดอกเบี้ยนโยบายยังไม่ขยับ
นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือน พ.ย.2557 มีสินทรัพย์รวม 16.6 ล้านล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง 11 ล้านล้านบาท หรือเท่ากับ 5.0% ลดลงจากสิ้นปี 2556 ที่อยู่ 11% จากที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่หดตัวมาอยู่ที่ 7.5% ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย รถยนต์ และใช้จ่ายส่วนบุคคลที่ได้ชะลอตัวลง
ขณะที่ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ในระบบสถาบันการเงินสิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2557 โดยมียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 2.94 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.34% เพิ่มสูงขึ้นจากสิ้นปี 2556 ที่อยู่ 2.15% โดยเฉพาะหนี้เอ็นพีแอลสินเชื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มสูงขึ้นจาก 2.20% ในปี 2556 มาเป็น 2.65% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2557 โดยมองว่าเป็นเรื่องปกติในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอลง แต่ธปท.ได้ให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการกันสำรองให้มากขึ้นโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 1.35 เท่าต่อจำนวนหนี้ ดังนั้นจึงมีเพียงพอสำหรับการดูแลคุณภาพหนี้เสียดังกล่าว
“ธนาคารพาณิชย์ยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทั้งจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่เต็มที่ ปัญหาการเมืองครึ่งปีแรก และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 0.8% ส่งผลให้ภาพรวมการให้สินเชื่อชะลอลง” นางทองอุไร กล่าว
นางทองอุไรกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2558 กำลังอยู่ในช่วงที่ฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายและจากฐานต่ำในปี 2557 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 ขยายตัวได้ 4.0% ต่อปี จากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และภาคบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์จะสามารถสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายการให้สินเชื่อที่ 7% แบ่งเป็นการให้สินเชื่อของธนาคารขนาดใหญ่เฉลี่ย 5-9% และสินเชื่อขนาดกลางและเล็กที่เฉลี่ย 10% โดยสินเชื่อธุรกิจที่จะขยายตัวได้ดี คือ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และสาธารณูปโภค
“ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงเรื่องคุณภาพสินเชื่อรายย่อยและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคในประเทศที่อาจด้อยลงจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเต็มที่ โดยคาดว่า ไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดหนี้เสียจะยังคงปรับเพิ่มขึ้น แต่จากนั้นจะทรงตัวตามภาวะเศรษฐกิจในปี 2558 ที่เริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังมีความกังวลต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มีความผันผวนเพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเปราะบางและนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศหลักมีแนวโน้มแตกต่างกัน” นางทองอุไร กล่าว
นางทองอุไรกล่าวถึงแผนงานด้านสถาบันการเงินปี 2558-2559 ว่า ธปท.ได้จัดทำกรอบการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test ) เพื่อประเมินฐานะและความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ การตรวจสอบความเสี่ยงด้านไอที รองรับธนาคารพาณิชย์ที่มีการให้บริการดิจิตอล แบงกิ้งมากขึ้น ดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง รวมถึงแนวทางการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ(แบงก์รัฐ) ที่ในปัจจุบัน ธปท.ได้ดำเนินการตรวจสอบเป็นปกติ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้มอบนโยบายและเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งจะต้องหารือกับคลังถึงกรอบและขอบเขตหน้าที่ให้ชัดเจนไม่เกิดการซ้ำซ้อนอีกครั้ง
ด้านนายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา “จับตาภาวะเศรษฐกิจปีมะแม 2558” โดยเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีไว้ที่ 2% ต่อปี ซึ่งเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่จะขยายตัวได้ จากนั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น และจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.เอาไว้จะสอดคล้องกับการที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB และธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ ที่ยังคงอยู่ในช่วงของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งญี่ปุ่นยังคงพิมพ์แบงก์ออกมา ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการ QE ชุดใหม่ แต่ต้องจับตาธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้
ขณะที่ค่าเงินบาท คาดว่า สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกาะกลุ่มกับเงินหยวนของจีน ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับลดลง จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นเท่านั้น ส่วนทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2558 ประเมินว่า ตลอดปีนี้ จะขยายตัว 3.5% ขณะที่การส่งออกตลอดปีจะขยายตัวเฉลี่ยที่ 3% เป็นผลจากราคาน้ำมันลดลง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงโดยจะอยู่ที่ 1-1.5%
ด้านนางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า สมาคมปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ในปี 2558 เหลือ 3.8% จากเดิม 4.3% ส่วนในปี 2557 ปรับลดลงเหลือ 0.9% จากเดิม 1.6% โดยเป็นจากเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะยืนอยู่ที่ 2% ตลอดปี 2558 จากการประเมินการเทียบกับครั้งก่อนเฉลี่ย 2.2%
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมีข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย 3 เรื่อง คือ 1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นไปตามกำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวล่าช้า 2.ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม และ 3.แก้ปัญหาคอรัปชั่นอย่างจริงจัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี