นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทตั้งมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ(AUM)ไว้ที่ 687,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ประมาณ 92,000 ล้านบาท หรือประมาณ 15% โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจะเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนทั่วไป ประมาณ 80% และเพิ่มจากนักลงทุนสถาบัน 20 %
ทั้งนี้ในปี 2558 บริษัทมีแผนจะเปิดจำหน่ายกองทุนรวมประเภท ตราสารทุนที่ลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ไม่ต่ำกว่า 6 กองทุน โดยปัจจุบัน บริษัทเตรียมเปิดจำหน่ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มูลค่าโครงการประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะออกได้ในช่วง ไตรมาสที่ 1/58 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)เพื่อปรับกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกับกองทุน
นอกจากนี้ ยังเตรียมออกกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) 3 กอง มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มเอราวัณซึ่งเป็นกองโรงแรม มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท และกองศูนย์การค้า 1 กอง กองอาคารสำนักงาน 1 กอง มูลค่าประมาน 3,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนทั้ง 6 กอง ที่จะออกมานั้นเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้ลงทุน
นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2558 มีแนวโน้มดีขึ้นจากหลายปัจจัยสนับสนุน แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาจะไม่ค่อยดีนัก แต่เริ่มมองเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี’57 รวมถึงราคาสินค้าการเกษตรคาดว่าน่าจะเริ่มเห็นราคาที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในปีนี้ ในส่วนของการบริโภคสินค้าประเภทอื่นเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นในช่วงหลัง
นอกจากนี้ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% ตลอดครึ่งปีแรก เนื่องจากเงินเฟ้อที่ลดลงจะส่งผลทำให้กำลังซื้อปรับดัวดีขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการลดดอกเบี้ยและอาจมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่สมดุลได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ตามสหรัฐที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยในแต่ละครั้งจะมีผลกระทบในวงกว้าง
ด้านนายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มการลงทุนในตราสารทุนในปี 2558 จะมีความผันผวนสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยลบจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ รวมทั้งการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางของกลุ่มประเทศยูโรโซน และญี่ปุ่น ยังต้องอาศัยการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยความแตกต่างในการใช้นโยบายทางการเงินของดังกล่าวจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน พันธบัตร ตลาดหุ้น และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เกิดการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุน และมีการปรับตัวผันผวนตลอดทั้งปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี