กสิกรไทยตั้งเป้าปล่อยกู้เอสเอ็มอี6.12แสนล. ชู3กลยุทธ์หลักซื้อใจลูกค้า
ส่งทีมลงพื้นที่ช่วยแก้ปัญหา
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยผลการดำเนินงานของสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีว่าขยายตัวดีโดย ณ สิ้นปี 2557 มียอดสินเชื่อรวม 568,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% ในจำนวนนี้มาจากต่างจังหวัด 360,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% ด้านยอดรายได้รวมอยู่ที่ 39,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 13% ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 2.56% ลดลงจากปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 2.82% โดยในปี 2558ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ 280,000 ล้านบาท และมียอดสินเชื่อรวม 612,000 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 2557 ที่ 7.7% ตั้งเป้ารายได้รวม 43,300 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 9% และรักษาเอ็นพีแอลให้ลงไปอยู่ที่ 2.39%
สำหรับปี 2558 จะเน้น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่การดูแลผู้ประกอบการภายใต้แนวคิด “K SME ช่วยเต็มที่ SME มีแต่ได้” โดยดูแลลูกค้าปัจจุบันให้ดีควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ ด้วยบริการที่ครอบคลุมทั้งวงจรธุรกิจและสินเชื่อ การให้ความรู้ผ่านการสัมมนาออนไลน์ SME Webinar และจัดสัมมนารูปแบบต่างๆ การสร้างเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งให้แก่ลูกค้า ผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ
รวมถึงช่วยเหลือลูกค้าให้ผ่านพ้นวิกฤติต่างๆไปได้ด้วยดี การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการลดระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ พร้อมกระตุ้นให้พนักงานได้ใช้เวลาในการเยี่ยมลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อทราบถึงความต้องการและช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้ทันท่วงที และการรักษาพนักงานด้วยการสร้างความสุขในการทำงาน เมื่อพนักงานมีความสุข อัตราการลาออกก็จะน้อยลง
“ปีที่ผ่านมาเอสเอ็มอีของไทยต้องประสบปัญหาหลายเรื่องธนาคารมีมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือเช่น พักชำระเงินต้น ลดดอกเบี้ยเงินกู้โอดีลง 3% ขยายเวลากู้ รวมทั้งพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้า 18,600 ราย มียอดสินเชื่อรวม 67,600 ล้านบาท และในปีนี้ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวซบเซาและผลกระทบจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ โดยพักชำระเงินต้นนานสูงสุด 12 เดือน ขยายเวลาผ่อนชำระ และเลือกผ่อนชำระตามรายได้ของกิจการ”
นายพัชรกล่าวว่าในภาวะที่เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องเรียกหลักประกันในการขอสินเชื่อมากขึ้น จากลูกค้าที่แนวโน้มมีความเสี่ยง ซึ่งตามหลักของพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ว่าด้วยการลดภาระของผู้ค้ำประกัน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 ยิ่งจะทำให้มีการขอหลักประกันในการขอสินเชื่อมากขึ้นเพราะไม่สามารถเรียกจากผู้ค้ำได้จึงส่งผลกระทบต่อผู้กู้และธนาคารทำให้กู้สินเชื่อได้ยากขึ้น และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อคุณภาพของสินเชื่อสูงขึ้น จึงเชื่อว่าสถาบันการเงินคงไม่ยอมผ่อนผันการขอหลักประกันน้อยลง แต่จะเลือกวิธีการปรับลดวงเงินการให้สินเชื่อเอสเอ็มอีลงแทน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี