ตัวเลขเดือนธันวาคมยังเพิ่มขึ้น-ยอดจ่ายใต้โต๊ะ5-15%
ปัญหาคอร์รัปชั่นแก้ไม่ตก
ม.หอการค้าเผยผลสำรวจสถานการณ์คอร์รัปช่ันไทย ตัวเลขล่าสุดเดือนธันวาคม ยังเพิ่มขึ้น แต่ประชาชนยังหวังว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบจะแก้ไขได้ สาเหตุหลักที่ปราบโกงไม่หมด คือความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมายมากที่สุด ส่วนยอดเม็ดเงินการจ่ายใต้โต๊ะลดลงเหลือ 5-15% จากเดิมที่สูงถึง 35%
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย จากการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 2,400 ตัวอย่าง ในกลุ่มประชาชน ผู้ประกอบการ ภาคเอกชน และข้าราชการ ภาครัฐ ประจำเดือนธ.ค. 2557 ว่า ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยอยู่ที่ระดับ 49 เพิ่มขึ้นจากระดับ 46 ที่สำรวจเมื่อเดือนมิ.ย.2557 ส่วนดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นในปัจจุบันอยู่ที่ 47 เพิ่มขึ้นจาก 45 และดัชนีแนวโน้มสถานการณ์อยู่ที่ 50 เพิ่มขึ้นจาก 47 ทั้งนี้หากดัชนีมีค่าเข้าใกล้ 100 ก็แสดงว่าสถานการณ์คอร์รัปชั่นมีปัญหาลดลง หรือสถานการณ์ดีขึ้น และในการสำรวจ 4 หมวด ดัชนีทุกหมวดปรับตัวดีขึ้นทั้งหมด โดยดัชนีปัญหาและความรุนแรงของปัญหาคอร์รัปชั่น อยู่ที่ 42 เพิ่มขึ้นจาก 39, ดัชนีการป้องกันการคอร์รัปชั่น อยู่ที่ 51 เพิ่มขึ้นจาก 46, ดัชนีการปราบปรามการคอร์รัปชั่นอยู่ที่ 54 เพิ่มขึ้นจาก 48 และดัชนีการสร้างจริยธรรมและจิตสำนึกอยู่ที่ 49 ลดลงจาก 51
ทั้งนี้ยังพบว่าความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ต่อต้านการทุจริตของสำนักงาน ป.ป.ช. อยู่ในระดับ 5.23 คะแนน เพิ่มจาก เดือนมิ.ย. 2557 ที่อยู่ระดับ 5.2 คะแนน, ความเชื่อมั่นต่อผู้ประกอบการในการช่วยต่อต้านฯ ได้คะแนน 5.38 คะแนน เพิ่มขึ้น
จากครั้งก่อนที่ได้คะแนน 5.1 คะแนน, ความเชื่อมั่นต่อสมาคมของภาคธุรกิจต่างๆ ได้คะแนน 5.35 คะแนน เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่ได้คะแนน 5.25 คะแนน, ความเชื่อมั่นต่อสื่อมวลชนได้คะแนน 5.65 คะแนน เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่ได้คะแนน 5.54 คะแนน และความเชื่อมั่นต่อภาคประชาชนได้คะแนน 5.77 คะแนน เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่ได้คะแนน 5.7 คะแนน
ส่วนสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย คือความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมายมากที่สุด รองลงมาเป็นขาดกลไกการกำกับดูแลกิจการและการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ, การขาดจริยธรรมของบริษัท, ความล่าช้า หรือยุ่งยากของขั้นตอนในการดำเนินการของทางราชการ, กฎหมายเปิดโอกาสให้สามารถใช้ดุลที่เอื้อต่อการทุจริต, กระบวนทางการเมืองขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก, เจ้าหน้าที่ขาดคุณธรรม, เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับค่าตอบแทนต่ำ, ผลประโยชน์ทางการเมือง และวัฒนธรรมเงินใต้โต๊ะ เป็นต้น
ขณะที่รูปแบบการทุจริตที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือ การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อแสดงหาประโยชน์ส่วนตัว, การให้สินบนของกำนัลหรือรางวัลต่างๆ, การจ่ายเงินเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ภายหลัง, การทุจริตเชิงนโยบาย โดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง, การกรรโชก, การเอื้อประโยชน์แก่ญาติและพรรคพวก, การวิ่งเต้นขอตำแหน่งและการโยกย้าย และการไม่เปิดเผยข้อมูลหรือเปิดเผยไม่ครบถ้วน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้สอบถามความเห็นประชาชนถึงกรณีที่ว่า หากรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น แต่มีผลงานและทำประโยชน์ให้สังคมเป็นเรื่องที่รับได้หรือไม่ พบว่า ประชาชนไม่เห็นด้วย 85% เห็นด้วย 14% และไม่ตอบ 1% ซึ่งดีกว่าในอดีตอย่างปี’53 ที่ตอบว่าเห็นด้วย 32% ไม่มีความเห็น 15% และไม่เห็นด้วยเพียง 53% แสดงให้เห็นว่าประชาชนและสังคมมองว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นเรื่องที่ไกลตัวและมีการต่อต้านคอร์รัปชั่นมากขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐ มีการจ่ายเงินพิเศษให้ข้าราชการ นักการเมือง เพื่อให้ได้สัญญา มีเฉลี่ยที่ 5-15% ของงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขต่ำสุดในรอบ 5 ปี และคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 50,254-150,763 ล้านบาท ลดลงจากปี 2553-2556 ที่มีการเรียกรับเงิน 25-35% เพราะประชาชนเริ่มมีการติดตามการทำงานการบริหารงานของภาครัฐอย่างใกล้ชิดมากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลภายใต้บริหารงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีความเข้มงวดในการปราบปราม จนนักธุรกิจและข้าราชการหรือนักการเมืองไม่กล้าที่จะจ่ายเงินหรือรับเงินมากนัก อีกทั้งเมื่อเทียบการสำรวจล่าสุดกับช่วงปี 2553-2556 พบว่าการเรียกรับเงินใต้โต๊ะลดลง 10-20% หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายลดลง 100,000 -200,000 ล้านบาทต่อปี จึงถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่สถานการณ์การคอร์รัปชั่นในไทยลดลงอย่างมาก
“การที่งบประมาณรั่วไหลน้อยลง 100,000-200,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้รัฐบาลสามารถใช้เงินดังกล่าวในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 0.5-0.7% ของจีดีพี และหากรวมกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3-4% แน่นอน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี