“ณรงค์ชัย” สั่งขึ้นราคาก๊าซ “เอ็นจีวี” อีก 50 สต./กก. มีผล 31 ม.ค. พร้อมลอยตัวราคา “แอลพีจี” 2 ก.พ.นี้
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2558 มีมติปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) ทุกกลุ่มอีก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. 2558 โดยราคาเอ็นจีวีสำหรับผู้ใช้รถยนต์ทั่วไปราคาจะปรับจาก 12.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ อาทิ แท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก รถสองแถว ที่ร่วมโครงการช่วยเหลือให้ซื้อเอ็นจีวีราคาถูก จะปรับขึ้นจาก 9.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10 บาทต่อกิโลกรัมด้วย
ทั้งนี้จะมีการปรับราคาขึ้นอีกจนสะท้อนราคาต้นทุนที่แท้จริงประมาณ 15-16 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนจะปรับขึ้นอีกครั้งเมื่อใดนั้น จะพิจารณาตามสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ กบง.ยังมีมติให้ลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. 2558 เป็นต้นไป ซึ่งจะมีการประกาศราคาทุกเดือนตามราคาต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งเฉลี่ยมาจากราคาหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน้าโรงกลั่น และราคานำเข้าจากตลาดโลก ทั้งนี้การลอยตัวราคาแอลพีจีเดือนแรกนั้น ทาง กบง.จะให้ตรึงราคาไว้ที่ราคาปัจจุบัน 24.16 บาทต่อกิโลกรัม ไปตลอด เดือน ก.พ. 2558 ก่อน โดยพิจารณาจากราคาแอลพีจีตลาดโลกที่ปัจจุบันอยู่ระดับ 462 เหรียญสหรัฐต่อตัน และจะทำให้มีเงินไหลเข้าบัญชีกองทุนแอลพีจีที่จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นจำนวน 53 สตางค์ต่อกิโลกรัม โดยปัจจุบันมียอดใช้แอลพีจีทั้งประเทศอยู่ที่ 7.9 ล้านตันต่อปี ส่วนเดือนถัดไปจะปรับเปลี่ยนตามราคาตลาดโลกต่อไป
รมว.พลังงาน กล่าวว่า สำหรับประเด็นเรื่อง ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่ประชุมได้หารือและมีมติยืนยันว่าจะมีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้นอีก 1 บาทต่อลิตร อย่างแน่นอน ซึ่งจากปัจจุบันอยู่ที่ 3.25 บาทต่อลิตร ก็ต้องการเพิ่มให้เป็น 4.25 บาทต่อลิตร โดยสลับเงินมาจากเงินที่เก็บเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกเปลี่ยนแปลง จนเป็นภาระของประชาชน แต่จะดำเนินการเมื่อใดยังไม่ได้กำหนดระยะเวลา เนื่องจากต้องรอแนวทางปฏิบัติที่กำลังหารือร่วมกับกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้ค้าน้ำมันเช่นที่ผ่านมาเกี่ยวกับสต๊อกน้ำมันเก่า
นายณรงค์ชัยกล่าวว่า กบง.ยังได้พิจารณาเห็นชอบแนวทางให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก(เอสพีพี) แบบพลังงานความร้อนร่วมในนิคมอุตสาหกรรมสามารถดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าต่อไปได้ หลังจากเอสพีพีกลุ่มแรกจะหมดอายุสัญญาจำนวน 25 โรง ในปี 2560-2568 ทั้งนี้เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่มีเงื่อนไขจะต้องอยู่ภายใต้แนวทางที่ไม่เป็นภาระต่อค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ ไม่ขายเกินราคาหรือแพงกว่าที่ภาครัฐกำหนด
นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สาเหตุที่เก็บเงินแอลพีจีเข้ากองทุนน้ำมัน ลดจาก 80 สตางค์ต่อกิโลกรัมเหลือ 53 สตางค์ต่อกิโลกรัม เพราะแอลพีจีตลาดโลก เดือนก.พ.นี้จะปรับขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ที่ 462 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากเดือนม.ค. อยู่ที่ 443 เหรียญสหรัฐต่อตัน และเนื่องจากราคาไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก จึงทำให้ราคาประกาศขายปลีก จึงยังอยู่ที่ 24.16 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับสถิติที่กองทุนน้ำมัน ต้องจ่ายชดเชยในการที่บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ต้องนำเข้าแอลพีจี ล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปี 2551-เดือนธ.ค.ที่ผ่านมา รวม 9.9 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 172,825 ล้านบาท คิดราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 17.40 บาทต่อกิโลกรัมโดยกองทุนน้ำมันได้ทยอยคืนให้กับปตท.เป็นระยะๆ
สำหรับแผนการทยอยปรับขึ้นราคาเอ็นจีวี ในปีนี้ จะสามารถทำให้ สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงภายในปีนี้หรือไม่ ต้องขึ้นกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ว่า จะดำเนินการอย่างไร และสถานการณ์ในเวลานั้นๆ เป็นส่วนประกอบในการพิจารณา ส่วนฐานะเงินกองทุนน้ำมันล่าสุด อยู่ที่ 23,690 ล้านบาท โดยมีรายรับต่อวัน วันละ 275 ล้านบาท หรือ 8,505 ล้านบาทต่อเดือน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี