กกร.ทำใจเตรียมหั่นเป้าส่งออกต่ำกว่า 3.5% หลังเศรษฐกิจโลกถดถอย ค่าเงินบาทแข็ง สรท. คาดไตรมาสแรกติดลบ 2% เหตุออเดอร์ลด สินค้าไทยเริ่มตกรุ่น ขาดการพัฒนา ล่าสุดค่าเงินยูโรร่วง ส่งออกไปอียูขาดทุนเดือนละ 6 พันล้านบาท คาดไตรมาสแรกติดลบ 1.8 หมื่นล้านบาท วอนรัฐผลักดันการส่งออกเป็นวาระแห่งชาติ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 มีนาคมนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สอท. หอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทยซึ่งจะหารือถึงภาวะเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะภาคการส่งออก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวดี รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทยยังแข็งค่า จึงเป็นไปได้สูงที่จะลดเป้าหมายการส่งออก จากเดิมที่คาดว่าขยายตัว 3.5% ส่วนจะเหลือเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาร่วมกัน พร้อมกันนี้จะหารือความคืบหน้าการเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของภาคเอกชนไทยด้วย
“ตอนนี้ที่เป็นห่วงคือการส่งออก เพราะยังได้รับผลกระทบจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก การเคลื่อนไหวค่าเงินบาทของไทยยังแข็งค่า เมื่อเทียบกับภูมิภาค ซึ่งในที่ประชุมกกร.ก็จะมาคุยกันว่า กระทบต่อความสามารถแข่งขันของผู้ประกอบการไทยมากน้อยแค่ไหน ซึ่งมีแนวโน้มต้องปรับเป้าหมายลดลง ส่วนการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขณะนี้ยังมองไว้ที่เป้าหมายเดิม ขยายตัว 3.5% แต่จะปรับเป้าหรือไม่ ก็ต้องดูในที่ประชุมร่วม 3 สถาบันอีกครั้ง ปัจจัยสำคัญที่สุดในการพิจารณาคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเบิกจ่ายงบประมาณ การดำเนินโครงการต่างๆ และที่สำคัญคือการผลักดันราคาสินค้าเกษตร ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อีกมาก” นายสุพันธุ์ กล่าว
นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า จะหารือถึงความคืบหน้าการเพิ่มขีดความสามารถของไทย หลังจากที่ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานไปเมื่อเร็วๆนี้ เพราะขณะนี้เป็นช่วงเวลาดีที่จะปรับเปลี่ยนกฎระเบียบต่างๆ ให้มีการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนมากขึ้นโดยเฉพาะขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่างๆ หากเรายังช้าอาจทำให้สูญเสียโอกาสทางการค้าได้
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขีดความสามารถของไทยเช่น เกษตรกรซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพมากในอาเซียน แต่ขณะนี้ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนมีการเร่งพัฒนาศักยภาพ ดังนั้นเกษตรกรไทยเอง ก็ต้องเร่งพัฒนาเช่น การนำนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาปรับใช้ หากไม่ปรับตัว เมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียน (เออีซี) เราอาจเสียโอกาสทางการแข่งขันได้
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ส่งออกไทยที่มีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) สินค้าไปตลาดยุโรปขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้วเฉลี่ย 6,000 ล้านบาทต่อเดือน จากค่าเงินสกุลยูโรอ่อนค่าลง 20% เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเซ็นสัญญาล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส จึงไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ ขณะเดียวกันยังพบว่าในไตรมาสที่ 2 และ 3 ลูกค้าจากยุโรปเริ่มขอลดราคาสินค้า 10-15% ในกรณีที่มีการซื้อขายด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการซื้อขายด้วยเงินสกุลยูโรไม่ได้มีการเจรจาขอลดราคาเพราะค่าเงินยูโรอ่อนค่าอยู่แล้ว
“ผู้ประกอบการไทยที่เซ็นสัญญาซื้อขายด้วยเงินยูโรหากรวมไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ขาดทุนรวม 18,000 ล้านบาท เพราะเมื่อแลกมาเป็นเงินไทย หรือเงินสกุลสหรัฐก็จะมีมูลค่าน้อย ส่วนผู้ที่ทำสัญญาซื้อขายด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสแรกยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ในไตรมาส 2-3 จะเริ่มกระทบเพราะลูกค้าขอให้ลดราคาตามค่าเงินยูโรที่อ่อนตัว 10-15% หากรายใดต้องการประคองตลาดก็ต้องยอมเจ็บตัว แต่ถ้ารับไม่ไหวก็ต้องทิ้งแล้วหาตลาดใหม่” นายวัลลภ กล่าว
การส่งออกของไทยในไตรมาสแรกของปี 2558 มีแนวโน้มติดลบ 2% จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอ โดยเฉพาะตลาดส่งออกหลักของไทย ทั้งจีน ญี่ปุ่น และยุโรป ประกอบกับค่าเงินยุโรปอ่อนค่าลง 20% และจากการที่ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือ GSP ทำให้โอกาสส่งออกไปยุโรปทั้งในรูปของเงินยูโร หรือดอลลาร์สหรัฐยากขึ้น อีกทั้งค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่ากว่าประเทศอื่นในภูมิภาคบั่นทอนขีดความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย
“สรท.ยังคงเป้าการส่งออกทั้งปี 2558 อยู่ที่ 1.1-1.5% โดยจะติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและประเมินยอดการส่งออกเป็นประจำทุกไตรมาส แต่ยังคาดหวังว่านโยบายการลงทุนของภาครัฐจะกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึง
เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว จะส่งผลดีต่อการส่งออก” นายวัลลภ กล่าว
ส่วนภาคเอกชนต้องหาตลาดใหม่โดยเฉพาะอาเซียนและการค้าชายแดน ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ภาครัฐผลักดันการส่งออกให้เป็นวาระเเห่งชาติ และให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้ส่งออกแข่งขันได้ เนื่องจากประเทศคู่แข่งค่าเงินอ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกกล่าวว่า สินค้าอุตสาหกรรมของไทยส่วนใหญ่เป็นการรับจ้างผลิตให้กับบริษัทข้ามชาติ การส่งออกจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบริษัทแม่ จึงน่าเป็นห่วงในเรื่องของการลงทุนที่เริ่มมีการกระจายความเสี่ยงโดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าไปสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน สินค้าส่งออกของไทยจำนวนมากเริ่มตกรุ่น ขาดการพัฒนาและมีมูลค่าต่ำ เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม
ภาครัฐควรเพิ่มขีดความสามารถการส่งออกของไทยทั้งการหาตลาดใหม่พัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ นวัตกรรมวิทยาศาสตร์เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และการสร้างฐานข้อมูลเดิม ข้อมูลใหม่นำมาใช้วิเคราะห์ทางการค้าเพื่อให้เกิดประโยชน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี