นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งดูแลการดำเนินการเกี่ยวกับกองทุนหมู่บ้าน อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการสรุปรายละเอียดที่จะอัดฉีดเงินให้กองทุนหมู่บ้านเพิ่มเติมทั้ง 7 หมื่นแห่งเพื่อเป็นการแก้ปัญหาความยากจน และเป็นการเพิ่มเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากซึ่งจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)สัญจร ที่อำเภอหัวหิน ในสัปดาห์หน้า
สำหรับการเติมเงินให้กองทุนหมู่บ้านแบ่งเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรก เป็นกองทุนหมู่บ้านที่ดำเนินการดี โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ ธนาคารออมสิน จะปล่อยกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท เป็นธนาคารแห่งละ 2 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 4 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้กับสมาชิก
ส่วนกองทุนหมู่บ้านที่เหลือ เป็นกองทุนที่ดำเนินการไม่ดีเท่ากับกลุ่มแรก และที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ได้มีการจัดสรรเงินงบประมาณเพิ่มทุนรอบที่ 3 ให้กับหมู่บ้านทุกแห่ง แต่ยังมีหมู่บ้านที่ยังไม่ได้เพิ่มทุน 2-3 หมื่นหมู่บ้าน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง ก็จะเร่งยกระดับการบริหารเพื่อให้ทุกกองทุนหมู่บ้านได้รับเงินเพิ่มทุน เพื่อไปปล่อยกู้ให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน
“ตอนนี้เหลือแค่รายละเอียดของการดำเนินการเท่านั้น ว่าการเพิ่มเงินให้กับกองทุนหมู่บ้านทั้ง 7 หมื่นกว่าหมู่บ้าน จะทำกันอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยทำงานร่วมกันมาตลอด” นายสมหมาย กล่าว
ส่วนมาตรการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาความยากจนของแบงก์รัฐ ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ซึ่งเป็นการดำเนินการเพิ่มเติม จะมีมาตรการใดบ้างเป็นเรื่องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เป็นผู้ดำเนินการ คาดว่าจะทยอยเข้าครม.เป็นรายมาตรการ
นายสุพจน์ อาวาส กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ เอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า ในส่วนมาตรการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจนนั้น จากที่ครม.ได้อนุมัติไปเมื่อ 17 มีนาคมที่ผ่านมาธนาคารพร้อมเดินหน้าในส่วนของสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 7% โดยรัฐจะแบ่งรับภาระดอกเบี้ยให้ 3% และลูกหนี้จ่ายเอง 4% นั้น จะเน้นการปล่อยกู้เพื่อสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี และเอสเอ็มอีที่ติดแบล็กลิสต์ กับเครดิตบูโร (บริษัทข้อมูลเครดิต) เพื่อให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน
โดยธนาคารจะดูประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้ หลังจากที่ติดแบล็กลิสต์แล้ว ยังมีความพยายามในการทยอยชำระหนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ก็จะเข้าดูกิจการของลูกค้าหากเห็นว่าสภาพธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อได้ ก็พร้อมจะปล่อยสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการต่อไป
“จริงๆ เครดิตบูโร ไม่ได้ห้ามแบงก์ไม่ให้ปล่อยกู้ที่ติดแบล็คลิสต์ แต่แบงก์ มักจะใช้ข้ออ้างว่าไม่ปล่อยกู้กับลูกหนี้ว่าติดเครดิตบูโร เพราะฉะนั้นจากนี้ไป ลูกหนี้รายใดที่ยังประกอบกิจการแต่เคยติดแบล็กลิสต์ เอสเอ็มอีแบงก์จะปล่อยกู้ให้ เพื่อช่วยเหลือคนที่ขาดแหล่งเงินทุน แต่ยังมีความตั้งใจทำมาหากินต่อไป” นายสุพจน์กล่าว
นอกจากนี้ ครม. ยังอนุมัติมาตรการผ่อนปรนตามมติคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือ
ซูเปอร์บอร์ด เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2557 โดยให้เอสเอ็มอีแบงก์ ปล่อยกู้ลูกค้าเดิมที่มีคุณภาพดีก่อนวันที่ซูเปอร์บอร์ดมีมติอนุมัติ ให้สามารถปล่อยกู้ได้จากไม่เกิน 15 ล้านบาทเป็นไม่เกิน 50 ล้านบาท และให้ปล่อยกู้ลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย เช่นกัน
การผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดี ช่วยให้ลูกหนี้ที่รอการอนุมัติสินเชื่อเกินกว่า 15 ล้านบาทต่อราย ที่มี 25 ราย คิดเป็นวงเงิน 1,151 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้เอสเอ็มอีรายขนาดกลางที่รอการอนุมัติสินเชื่อเฉลี่ยประมาณ 40 ล้านบาทต่อรายได้มีเงินใช้หมุนเวียนประกอบกิจการต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี