'สปช.'รับทราบรายงานปฏิรูปภาษี เร่งสางที่ดินก่อนสนช.หมดอายุ
วันจันทร์ ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558, 18.59 น.
Tag :
30 มี.ค. 58 ที่รัฐสภา การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ครั้งที่ 20/2558 โดยมี น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นประธานในที่ประชุม โดยมีระเบียบวาระการประชุมคือ การรับทราบและพิจารณา รายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลังเรื่องการปฏิรูประบบและโครงสร้างภาษี และการปฏิรูปการเงินฐานรากและสหกรณ์ออมทรัพย์ ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว โดยนายสมชัย ฤชุพันธ์ ประธานกรรมาธิการฯ รายงานว่า ระบบภาษีอากรของไทยยังมีความไม่ครบถ้วน และไม่เหมาะสมหลายประการจึงต้องมีการปฏิรูประบบภาษีให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคมไทยและของโลก ที่ผ่านมาภาษีอากรของไทยได้รับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขพัฒนาและปรับโครงสร้าง โดยทางภาษีเงินได้เราได้ปรับลดอัตราภาษีแบบอัตราก้าวหน้าซึ่งเดิมเคยมีอัตราสูงสุดที่ 65 เปอร์เซ็นต์ ลดลงเหลือ 37 เปอร์เซ็นต์และเมื่อเร็วๆ นี้ได้ลดลงอีกเหลืออัตราสูงสุด 35 เปอร์เซ็นต์ ส่วนภาษีศุลกากรก็ได้ลดอัตราภาษีลงอย่างมากจนรายได้จากภาษีศุลกากรซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้สูงสุดใน 3 กรมภาษีหลัก ขณะนี้กรมศุลกากรเป็นกรมที่จัดเก็บรายได้น้อยที่สุด ส่วนภาษีการค้าได้ยกเลิกภาษีการค้า และได้นำเอาภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทนภาษีการค้า
นายสมชัย กล่าวต่อว่า ระบบภาษีอากรของไทยมีปัญหาสำคัญ 4 ประการ คือ 1. ไม่ได้มีการแบ่งแยกชัดเจนในกฎหมายระหว่างภาษีของรัฐบาลระดับชาติกับภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2. ระบบภาษีของไทยยังมีภาษีไม่ครบฐานมีเพียงฐานการนำเข้าและส่งออก คือ ภาษีศุลกากรและฐานจากการผลิต และการบริโภคในประเทศ คือภาษีVAT และภาษีสรรพสามิต แต่ไม่มีภาษีจากฐานทรัพย์สินที่เป็นจริง และภาษีจากฐานมรดก ซึ่งรัฐบาลกำลังจะนำเสนอภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อใช้แทนภาษีบำรุงท้องที่ละภาษีโรงเรือน และภาษีที่ดิน ส่วนภาษีมรดกขณะนี้รัฐบาลได้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว 3. ภาษีเงินได้ของไทยมีโครงสร้างอัตราที่ล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับระดับขั้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ 4. ภาษีบางตัวล้าสมัยและเป็นภาษีก่อความรำคาญ 5. ระบบการบริหารจัดเก็บภาษียังไม่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพได้ และ 6. การกำหนดนโยบายภาษีของไทย ขาดการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง
นายสมชัย กล่าวอีกว่า ทางคณะกรรมาธิการขอเสนอกรอบแนวคิดในการปฏิรูป 6 ประการ คือ 1.ให้แยกให้ชัดไว้ในกฎหมายว่าภาษีของประเทศไทยมี 2 ระดับ คือ ระดับชาติ และระดับท้องถิ่น และทำการจัดแบ่งให้ภาษีก่อเกิดรายได้ต่อท้องถิ่นได้มากพอหรือเกือบพอกับการใช้จ่ายของท้องถิ่น 2. ให้เร่งทำภาษีให้ครบฐานโดยดำเนินการออกภาษีมรดก ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างภายในอายุของสนช. 3. ให้ปรับช่วงเงินได้ของอัตราภาษีเงินได้ให้กว้างและสูง เพื่อให้อัตราภาษีสูงสุดใช้กับเงินได้สุทธิที่สูงขึ้นกว่าเดิมอย่างสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจขิงไทย 4 .ให้ดำเนินการยกเลิกอากรแสตมป์โดยเร็ว 5.ให้ดำเนินงานปนรับปรุงการบริหารจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมถึงผู้ที่ต้องเสียภาษีให้กว้างขวางขึ้น และ6.ให้จัดตั้งคณะกรรมาการภาษีอากรระดับชาติ โดยมีองค์ประกอบทั้งภาครัฐเอกชน นักวิชาการ และภาคประชาชน
"ภาษีของไทยยังมีบางจุดที่ทำไม่ได้และไม่ได้ทำ เพราะความเข้มแข็งหรือเสถียรภาพของรัฐบาลในทางการเมืองไม่มี จึงไม่สามารถเข็นเรื่องยากๆ และมีความจำเป็นต้องทำได้ แต่ปัจจุบัน รัฐบาลจะมีการรวมภาษี 2 ตัว คือ ภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่ เป็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เวลานี้กระทรวงการคลังก็กำลังทำอยู่ ผมอยากจะให้กำลังใจกระทรวงการคลังให้ดำเนินการต่อไปในระบบที่เหมะสมที่รับได้ ถ้าหากว่า คนจน คนชั้นกลาง ที่มีความเดือดร้อน ก็ต้องมีการขยายฐานการยกเว้นให้สูงขึ้น ซึ่งภาษีดังกล่าวทำหน้าที่สำคัญ 3 ประการ อย่างหนึ่งคือการช่วยสกัดกั้นการเก็งกำไรในการซื้อขายที่ดิน อย่างที่สองคือการสร้างความยุติธรรมในสังคม เพราะเป็นการเก็บภาษีจากคนรวยที่มีที่ดินเยอะๆ อาคารหลังใหญ่ๆ บ้านราคาแพง ๆ อย่างที่สามก็คือจะเป็นรายได้ของท้องถิ่น" นายสมชัยกล่าว
หลังจากนั้นเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปฏิรูปโครงสร้างภาษี แต่ควรที่จะสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเต็มใจเสียภาษี ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้สามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ขณะที่สมาชิกบางส่วน เสนอให้มีการปฏิรูปหน่วยงานทีหน้าที่จัดเก็บภาษี คือ กรมสรรพากร และศุลกากร เพราะที่ผ่านมามีข่าวว่าเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรมีการทุจริตเรื่องการจัดเก็บภาษีจนถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเรื่องความร่ำรวยผิดปกติ จึงอยากเสนอให้เจ่าหน้าที่กรมสรรพากรและศุลกากรต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.ด้วย ทั้งนี้ ถือว่าที่ประชุมรับทราบรายงานและข้อเสนอแนะของสมาชิก โดยทางคณะกรรมาธิการฯจะนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป