24 เม.ย.58 นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) กล่าวถึงผลงานของกระทรวงไอซีที ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (12 ก.ย. 57 – 31 ม.ค. 58) ที่โดดเด่นแบ่งออกเป็น 3 เรื่อง ได้แก่
เรื่องแรก การผลักดันกฎหมาย ทั้ง 3 กลุ่มให้เดินหน้า
กลุ่มแรก คือกลุ่มกฎหมายส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอล ได้แก่ กฎหมายปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว กฎหมายการพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้รวมกฎหมาย 3 ฉบับไว้ในฉบับเดียวกัน คือ กฎหมายการพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กฎหมายการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอล และกฎหมายกองทุนพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงต้นเดือนพ.ค. 58
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มกฎหมายที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอล ได้แก่ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้มีการแยก พ.ร.บ.เป็น 2 ฉบับ คือ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา สำหรับกฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม คาดว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะตรวจพิจารณาแล้วเสร็จต้นเดือนพ.ค. 58
และกลุ่มที่สาม คือ กลุ่มกฎหมายด้านความมั่นคง ได้แก่ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และกฎหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่องที่สองคือการทำให้ทั้งทีโอที และกสท. โทรคมนาคม ที่แต่ก่อนไม่เคยคุยกันมาจับมือคุยกันรวมถึงเจรจาการแก้ไขปัญหาสัมปทาน กรณีข้อพิพาทสัมปทานกับเอกชนได้โดยเฉพาะเรื่องเสาโทรคมนาคม ซึ่งตามมติของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) กำหนดให้ดำเนินการหาข้อยุติให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยทาง กสท โทรคมนาคม ได้เจรจากับบริษัทเอกชนคู่สัญญาที่มีข้อพิพาทดังกล่าว ซึ่งมีความคืบหน้าตามลำดับ และเมื่อเจรจาเรียบร้อยแล้วจะเสนอเรื่องให้ผู้มีอำนาจพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องกรณีสัมปทานดาวเทียม ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการดำเนินงานหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีการดำเนินงานให้เป็นไปตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 58 โดยมีประเด็นในการดำเนินการ 3 เรื่อง ได้แก่ 1. กรณีเงินค่าสินไหมทดแทนจากการที่ดาวเทียมไทยคม 3 เกิดความเสียหาย จำนวน 6,765,299 ดอลลาร์สหรัฐ มีข้อยุติตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดว่า กระทรวงไอซีทีและบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญา 2. กรณีอนุมัติดาวเทียมไอพีสตาร์ โดยมิชอบ และ 3. กรณีการอนุมัติแก้ไขสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมฯ ครั้งที่ 5 โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% โดยกระทรวงไอซีทีได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางการดำเนินงานตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ คณะกรรมการตามมาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องดาวเทียมไอพีสตาร์ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีในลำดับต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระทรวงไอซีทีได้เตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงานตามกฎหมายใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในช่วงประมาณเดือนส.ค. 58 ได้แก่ การจัดตั้งกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยการปรับปรุงภารกิจและโครงสร้างจากกระทรวงไอซีที ซึ่งจะมีส่วนราชการใหม่ 1 ส่วน คือ สำนักงานคณะกรรมการดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐอีก 1 แห่ง คือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอล เพื่อขับเคลื่อนและดำเนินการตามนโยบายของคณะกรรมการดิจิตอลเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนส.ค.58 ตลอดจนการนำเสนอนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในเดือนก.ย. 58
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี