หอการค้าไทยเผย 4 สัญญาณน่าห่วงของเอสเอ็มอีคือยอดขายตก ขาดสภาพคล่องรุนแรง หนี้สินเพิ่ม เข้าถึงแหล่งทุนลำบาก บั่นทอนศักยภาพการแข่งขัน หวังครึ่งปีหลังฟื้นตัวทั้งปีโต 2.8% ตามภาวะเศรษฐกิจ ชี้หากแบงก์ทั้งระบบยอมหั่นดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระต้นทุนให้เอสเอ็มอีกว่าหมื่นล้านบาท ประชาชนกล้าจับจ่าย เพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs จากการสำรวจ 1,452 ตัวอย่างทั่วประเทศว่า ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ไตรมาสที่ 1/2558 อยู่ที่ระดับ 50.0 ลดลง 0.5 จุด จากไตรมาสที่ 4/2557 ที่อยู่ในระดับ 50.5 ขณะที่ค่าดัชนีสุขภาพเอสเอ็มอีอยู่ที่ 47.6 และดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจและดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจที่อยู่ระดับ 51 โดยธุรกิจที่อยู่ในภาคการผลิตมีแนวโน้มแย่ลงในทุกค่าดัชนี ขณะที่ภาคบริการและการค้ายังพอไปได้ตามภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น
ทั้งนี้จากการสำรวจความคิดเห็นของเอสเอ็มอี ยังมองว่ามี 4 สัญญาณที่สะท้อนถึงดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และสุขภาพของเอสเอ็มอี ในไตรมาส 1 คือ 1.ยอดขายและรายได้มีแนวโน้มลดต่ำลง โดย 38% มองว่าลดลง 42.1% บอกว่าคงที่ และมีเพียง 19.9% ที่บอกว่ามีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งนี้ส่วนใหญ่ 53.8% มองว่า หากยอดขายทั้งปีนี้จะโตขึ้นโดยขยายตัวอยู่ในระดับ 0-5%, 2.ปัญหาขาดสภาพคล่องมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ในจำนวนนี้ 31.6% มองว่าจะมีแนวโน้มแย่ลงอีก และมีเอสเอ็มอี ที่เจอปัญหาขาดสภาพคล่องเคยขาดส่งเงินต้นและดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้ถึง 20.3%, 3.ภาระหนี้สินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และ 4.ยังคงมีอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ขณะเดียวกันได้สอบถามถึงธุรกิจว่าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือไม่ 68% ของกลุ่มตัวอย่างเอสเอ็มอีตอบว่า ได้รับผลกระทบ แต่ส่วนใหญ่กว่า 50% ยังหวังว่าธุรกิจจะกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ แต่ยังไม่มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มมากนัก
“ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีอยู่ในช่วงถดถอย มีการกู้หนี้ ยืมสิน และยังไม่รับรู้ว่ามีรายได้เข้ามา โดยคาดว่าไตรมาสที่ 2 เอสเอ็มอีจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากเศรษฐกิจที่น่าจะฟื้นตัว ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น การสนับสนุนสินเชื่อให้เอสเอ็มอี นาโนไฟแนนซ์ และการปรับปรุงโครงสร้างภาษี เป็นต้น”
นอกจากนี้การที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ถือว่าเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยเอสเอ็มอีเพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจได้เร็วขึ้น และก็มองว่าจีดีพีเอสเอ็มอี ในปี 2558 น่าจะขยายตัวได้ที่ 2.8% หรือมีมูลค่า 4.5 ล้านล้านบาท โดยการฟื้นตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีไทย จะสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 3% แต่ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากกว่า 4% หากรัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี คาดว่าหากทุกธนาคารลดอัตราดอกเบี้ยลงหมดอย่างต่ำ 0.1% ก็สามารถช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการได้แล้ว 1 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ประชาชนกล้าตัดสินใจซื้อของ และรูดบัตรเครดิตได้ง่ายขึ้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ติดตามภาวะเศรษฐกิจพบว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและการบริโภคให้เพิ่มขึ้นกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นผ่านต้นทุนการกู้ยืมที่ปรับตัวลง และการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2558 สามารถขยายตัวได้ 3.7% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.2-4.2% ซึ่งเป็นการประมาณการไว้เมื่อเดือนเมษายน 2558
นอกจากนี้ สศค. ยังประเมินว่าการที่ บรรษัทประกันสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) ออกมาตรการดึง 22 สถาบันการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี การกระตุ้นการลงทุนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้า
จากข้อมูลล่าสุด เดือนมีนาคม 2558 ยอดสินเชื่อของสถาบันมียอดคงค้าง 15.5 ล้านล้านบาท ขยายตัว 5.0% ต่อปี หรือขยายตัว 0.9% ต่อเดือน โดยขยายตัวเร่งขึ้นทั้งในธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และเมื่อจำแนกตามประเภทของสินเชื่อพบว่า สินเชื่อภาคธุรกิจกลับมาชะลอลงเล็กน้อยจากการหดตัวของสินเชื่อธุรกิจในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ขณะที่สินเชื่อเพื่อการบริโภคขยายตัวเร่งขึ้นทั้งในธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
ทั้งนี้ จากการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะส่งผลดีต่อการขยายตัวของยอดขอสินเชื่อทั้งระบบทำให้การบริโภคและการลงทุนเพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวและช่วยพยุงความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในการลงทุนโดยธนาคารพาณิชย์ก็ตอบรับนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี