25 พ.ค.58 นายคุรุจิต นาครทรรพ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย หากแยกเป็นเฉพาะแหล่งพี1 คือ แหล่งที่คาดว่าจะมีก๊าซฯแน่นอน จะเหลือใช้อีก 6 ปีครึ่งเท่านั้น และถ้ารวมกับแหล่งพี2 คือ แหล่งที่น่าจะมีก๊าซฯ จะเหลือใช้รวม 13 ปี ถือเป็นความเสี่ยงของประเทศ ดังนั้น รัฐบาลชุดนี้ จึงมีนโยบายเพิ่มสำรองปริมาณปิโตรเลียม ทั้งแนวทางการเปิดให้สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ครั้งที่ 21และการลงทุนในแหล่งก๊าซใหญ่ 2 แหล่งในอ่าวไทยซึ่งจะหมดอายุสัมปทานไทยแลนด์วัน ปี 2565-2566 ซึ่งทั้ง 2 เรื่องอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของภาครัฐ ซึ่งตนไม่สามารถการันตีได้ว่าจะมีความชัดเจนก่อนที่ตนจะเกษียณเดือนกันยายนนี้หรือไม่ ดังนั้นไม่อยากให้ยึดตัวบุคคล
"ความชัดเจนของการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ครั้งที่ 21ที่ชะลอมาจากต้นปีนั้น ที่ผ่านมากระทรวงคาดว่าจากขั้นตอนพิจารณาข้อกฎหมายทั้ง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และพ.ร.บ.ภาษีปิโตรเลียม เป็นเวลา 3 เดือน จะทำให้สามารถเปิดให้เอกชนยื่นขอสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ครั้งที่ 21ได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ แต่ต้องติดตามขั้นตอนดำเนินการอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมากระทรวงฯได้เปิดรับฟังความเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย 2 ฉบับ พร้อมจัดทำรายละเอียดแนวทางดำเนินการระหว่างระบบสัมปทานและระบบแบ่งปันผลประโยชน์ ส่งให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้ว และครม.ได้เห็นชอบในหลักการส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา หลังจากนี้กฤษฎีกาจะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เห็นชอบตัวกฎหมาย และจะส่งให้ครม.พิจารณาตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ระบบสัมปทานหรือพีเอสซีเพราะทั้ง 2 ระบบมีกฎหมายรองรับแล้ว" นายคุรุจิตกล่าว
สำหรับการลงทุนในแหล่งก๊าซใหญ่ 2 แหล่ง คือ เอราวัณ ของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และแหล่งบงกช ของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) นั้น ที่ผ่านมาทั้ง 2 แหล่งได้รับการต่ออายุ 10 ปีแล้ว ตามกฎหมายจึงไม่สามารถต่ออายุได้อีก
ดังนั้น เมื่อ 2 แหล่งหมดอายุปี 2565-2566 ทั้งหมดจึงตกเป็นทรัพย์สินของรัฐ เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)จึงมีมติให้รักษาความต่อเนื่องในการพัฒนาเพื่อรักษาระดับการผลิต กำหนดกรอบเวลา 1 ปี ให้บริหารจัดการว่าจะใช้ระบบใดในการลงทุนระหว่างไทยแลนด์ทรีกับสัมปทาน เอกชนใดจะเป็นผู้ลงทุนรัฐและเอกชนจะลงทุนสัดส่วนเท่าใดอย่างไรก็ตามยอมรับว่าหากผู้ลงทุนเป็นผู้รับสัมปทานเดิมน่าจะรักษาอัตราการผลิ และนำทรัพยากรมาใช้มากที่สุด เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญในแหล่งปิโตรเลียมอยู่แล้ว
"หากไม่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และไม่ชัดเจนภายในปี 2560 ปริมาณก๊าซฯจะหายจากระบบ 2.1-2.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี เข้ามาทดแทนราคามากกว่าก๊าซฯเท่าตัว จะทำให้ค่าไฟฟ้าปี 2562-2567 ขยับทันที 85 สตางค์ต่อหน่วย และกระทบต่อการจัดหาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวี และก๊าซหุงต้ม หรือแอลพีจี" นายคุรุจิตกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี