บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์หรือ BAMKโดยงบดุลของธนาคารพาณิชย์ในเดือนพฤษภาคมแสดงให้เห็นว่า 1) กิจกรรมการกู้ยืมของทุกธนาคารยังคงอ่อนแอ 2) ธนาคารส่วนใหญ่ปรับลดพอร์ตการลงทุนลงอีก 3) เริ่มมีสัญญาณการชำระหนี้ล่าช้าจากยอดดอกเบี้ยคงค้างที่เพิ่มขึ้น (BBL, KTB, TCAP, SCB).
สินเชื่อชะลอตัวลง
สินเชื่อกลุ่มธนาคาร (ไม่รวม BAY)ขยายตัว 0.1% MoM (จาก +0.5% MoM ในเดือนเมษายน) และ 0.8% YTD มีเพียงBBL และ KTB เท่านั้นที่สินเชื่อโต +0.8%/+0.6% MoM ตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงอุปสงค์ของสินเชื่อธุรกิจ ในขณะที่อุปสงค์
ในประเทศยังคงอ่อนแอ และการส่งออกก็หดตัว (-5% YoY ในเดือนพฤษภาคม) แนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อจึงยังเอาแน่ไม่ได้ ทั้งนี้สินเชื่อขยายตัว +0.8% YTD โดย KBANK มีอัตราการขยายตัวสูงที่สุดที่ +2.6% YTD รองลงมาคือ SCB ที่ +2.5%
เงินฝากไหลออก
เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อยังต่ำ ธนาคารส่วนใหญ่จึงปล่อยให้เงินฝากไหลออกและลดการกู้ยืมลงในเดือนพฤษภาคม 2558 ลงที่ -0.6% MoM (ยกเว้น SCB ซึ่งฐานเงินฝากเพิ่มขึ้น +3.7% MoM) โดย KTB ลดลงมากที่สุดที่ -4% MoM ทั้งนี้ เงินฝากและการกู้ยืมเท่าที่ผ่านมาในปีนี้ก็อยู่ในทิศทางเดียวกับสินเชื่อ ยกเว้น BBL ซึ่งฐานเงินฝากเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยธนาคารบอกว่าการเพิ่มฐานเงินฝากเป็นไปตามกลยุทธ์ของธนาคารในการที่จะเพิ่มฐานเงินฝากลูกค้ารายย่อยหรือ CASA
สัญญาณของการชำระหนี้ล่าช้า
ยอดดอกเบี้ยคงค้างขยับสูงขึ้นอย่างมากในเดือนพฤษภาคม โดยเฉพาะที่ KTB, BBL, TCAP โดยเพิ่มขึ้น +56%/42%/27%
MoM ตามลำดับ ยอดดอกเบี้ยคงค้างที่เพิ่มขึ้นถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของสถานะทางการเงินของลูกหนี้และความสามารถในการชำระคืนหนี้ที่อ่อนแอลง และต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดในเดือนต่อไป
แนวโน้ม-ภาวะเศรษฐกิจยากลำบากยิ่งขึ้น
งบดุลรายเดือนของธนาคารพาณิชย์ในเดือนพฤษภาคมแสดงถึงกิจการทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในขณะที่การส่งออกก่อหด
ตัวลงประมาณ 5% YoY ในเดือนพฤษภาคม (การส่งออกติดลงถึง -19%) หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับลด
อัตราดอกเบี้ยลงสองครั้งเหลือ 1.5% และปรับลดประมาณการเศรษฐกิจหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ลงเหลือ 3% เรามองว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอาจจะต่ำกว่าประมาณการล่าสุดถ้าปัญหาภัยแล้ง
ยืดเยื้อไปอีกหนึ่งเดือน ซึ่งแนวโน้ม GDP ที่อ่อนแอลงอาจจะกดดันให้ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกและกดดันให้ธนาคารต่างๆ ต้องลดดอกเบี้ยซึ่งจะส่งผลให้ NIM (ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ) หดแคบลงตามไปด้วย
หุ้นธนาคารต่างๆ ซื้อขายที่ระดับราคาที่ไม่แพงโดยมี PE อยู่ที่ 9.5x หรือคิดเป็น -1SD และ PBV ที่ 1.3x ใกล้เคียง-1SD ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยระยะยาวเท่านั้น ปัจจัยลบอย่างเช่นผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาสที่ 2/58 โอกาสที่จะถูกปรับลดประมาณการปีนี้ลงอีก และความกลัวเกี่ยวกับปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ อาจจะกดดันให้หุ้นธนาคารซื้อขายที่ระดับราคาต่ำลงไปกว่านี้อีก เราคาดว่าการที่อัตราดอกเบี้ยจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 3/58 และ PBV ที่ต่ำกว่า -1SD จะทำให้นักลงทุนหันมาช้อนซื้อของถูก โดยเรายังคงแนะนำให้ซื้อแค่ KBANK เท่านั้น
ปัจจจัยเสี่ยงก็คือปัญหาภัยแล้งกำลังคุกคามรายได้ภาคเกษตรและอาจจะทำให้มีการปรับลดประมาณการ GDP ลงอีก ซึ่ง
จะกดดันให้มีการลดดอกเบี้ยและทำให้ NIM หดแคบลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี