พลังงานพร้อมรับข้าวเน่าผลิตเอทานอล
ลอตแรกขอ1ล.ตัน-ป้องกันกระทบมันสำปะหลัง
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว หรือ นบข. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานวันที่ 1 ก.ค. มีมติให้นำข้าวในสต๊อกของรัฐบาล จำนวน 5.89 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวเกรดซี 4.6 ล้านตัน และเป็นข้าวเสียจำนวน 1.29 ล้านตัน โดยในส่วนของข้าวเกรดซี ให้นำมาผลิตเป็นเอทานอล ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่า จะใช้ข้าวในส่วนนี้ประมาณ 1-1.3 ล้านตัน โดยขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างรอการตรวจสอบข้าวที่เป็นของกลางในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวจากคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตข้าวแล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถนำข้าวออกมาดำเนินการตามมติที่ประชุม นบข.ได้ และถ้าหากสามารถปลดล็อคกฎหมายได้เร็ว กระทรวงพลังงานก็พร้อมที่จะดำเนินการได้ทันทีภายใน 4 เดือนนี้ ก่อนที่ผลผลิตมันสำปะหลังจะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะช่วยให้ราคาข้าวปรับตัวสูงได้ โดยล่าสุดมีโรงงานเอทานอลจำนวน 7 แห่ง ได้แสดงความสนใจเข้าร่วมประมูลข้าวกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว
ส่วนข้าวเสียที่มีจำนวน 1.29 ล้านตันนั้น มีแนวคิดจะนำไปเป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม อาทิ การผลิตเป็นถ่านสมัยใหม่ หรือ ไบโอชาร์ เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหิน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
ด้านนายธรรมยศ ศรีช่วย อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า พพ.ได้หารือกับผู้ประกอบการทั้งโรงงานเอทานอลและโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จะนำข้าวสต๊อกรัฐคุณภาพเสื่อม เพื่อไปผลิตเอทานอลและเป็นเชื้อเพลิงไฟฟ้า โดยทางผู้ประกอบการพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐและทางกระทรวงพาณิชย์ที่ดูแลสต๊อกข้าวและมีค่าดูแลเก็บรักษาวันละ 40 ล้านบาท ก็ต้องการระบายสต๊อกข้าวเหล่านี้ออกมา
สำหรับข้าวคุณภาพเสื่อมที่จะมาใช้ผลิตเอทานอลมีประมาณ 4-5 ล้านตัน แต่จากการศึกษาภาพรวมหากจะรับมาผลิตเอทานอลก็ต้องไม่กระทบราคาเอทานอลให้เพิ่มขึ้น ไม่กระทบต่อวัตถุดิบอื่นที่ผลิตเอทาอล เช่น มันสำปะหลังที่จะทยอยออกสู่ตลาดเดือนพฤศจิกายนนี้ ดังนั้น การรับข้าวเสื่อมคุณภาพมาผลิตเอทานอลจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตัน/ปี ที่เหลือต้องเก็บไว้เป็นสต๊อกไว้ก่อน
“ทางกระทรวงพาณิชย์จะดูแลการจำหน่ายข้าวเสื่อม โดยสูตรการคำนวณราคาต้องไม่กระทบตลาดเอทานอล โดยจะประกอบไปด้วยค่าข้าว ค่าขนส่ง ค่าบดข้าวให้มีคุณสมบัติเหมือนมันเส้น เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบเอทานอล ส่วนข้าวสำหรับโรงไฟฟ้านั้นก็จะเป็นคุณภาพที่เสื่อมมากที่สุดและนำไปเผาเป็นเชื้อเพลิงซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะประเมินปริมาณต่อไป” นายธรรมยศ กล่าว
ทั้งนี้ อธิบดี พพ.ให้สัมภาษณ์ระหว่าง ไปเยี่ยมชมโรงงาน แอล.วาย.อินดัสตรีส์ ซึ่งถือเป็นโรงงานอุตสาหกรรมต้นแบบที่ พพ. ได้ทำการศึกษาการเปลี่ยนหัวเผาหม้อไอน้ำจากเดิมใช้น้ำมันเตาให้ปรับมาใช้หัวเผาที่สามารถใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood pellets) แทนการใช้น้ำมันเตา ชี้ผลประหยัดสูงสุดจากขี้เลื่อยอัดเม็ด ลดค่าใช้จ่ายได้สูงกว่า 2.5 ล้านบาทต่อปี และเตรียมขยายผลส่งเสริมการลงทุนเปลี่ยนหัวเผาให้อีก 100 โรงงาน โดยปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานใช้หม้อ
ไอน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 10 ตัน/ชั่วโมง จำนวน 4,195 ลูก ขนาดรวม 13,000 ตัน/วัน หากมีการปรับเปลี่ยนทั้งหมดจะลดการ
ใช้น้ำมันถึงครึ่งหนึ่งและช่วย แก้ปัญหาเชื้อเพลิงอัดเม็ดล้นตลาด เพราะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้หันไปสั่งซื้อจากเวียดนามแทน เพราะราคาจำหน่ายถูกกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี