สรท.เคาะเป้าส่งออกทั้งปีติดลบ 4.2% เงินหายไปกว่า 3 แสนล้านบาท แนะรัฐบาลเร่งแก้ปัญหา 10 เรื่องใหญ่ เพื่อให้การส่งออกไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ก่อนที่ศักยภาพการแข่งขันจะถดถอย ถูกคู่แข่งในภูมิภาคแซงหน้า
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) กล่าวว่า การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายนที่ลดลง 7.87% ถือว่าลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2552ที่ประเทศไทยประสบกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่ส่งออกลดลง 14.26% ดังนั้นสรท. จึงปรับเป้าการส่งออกปีนี้เป็นครั้งที่ 2 มาอยู่ที่ลดลง 4.2% ซึ่งดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าจะลดลง 2%
โดยช่วง 6 เดือนหลังของปีจะดีขึ้นเล็กน้อยคาดว่าจะมียอดส่งออกเฉลี่ย 18,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/เดือน หรือลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 700 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน ในจำนวนนี้จะมาจากสินค้า 4 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันโลกฉุดยอดส่งออกลดลง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีก 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/เดือนมาจากสินค้ากลุ่มอื่นๆ ยอดรวมในครึ่งปีหลังหากคิดเป็นดอลลาร์สหรัฐจะลดลง 3.6% แต่ถ้าคิดในรูปค่าเงินบาทจะลดลง 2-2.5% ส่งผลให้ทั้งปีในรูปดอลลาร์สหรัฐจะลดลง4.2% แต่ถ้าเป็นเงินบาทคาดว่าจะลดลง 2.5-3%
“อย่างไรก็ตามหากไทยไม่เร่งปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่สินค้าชนิดใหม่ๆ ที่ทันสมัยได้ศักยภาพการแข่งขันก็จะลดลงเรื่อยๆ จนแพ้คู่แข่งในภูมิภาค” นายนพพร กล่าว
นายวัลลภ วิตนากร รองประธาน สรท. กล่าวว่า ครึ่งปีหลังคาดว่าค่าเงินบาทจะผันผวน โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจะไม่ช่วยการส่งออกในระยะสั้น เพราะว่าได้รับออเดอร์ล่วงหน้า แต่จะเห็นผลบวกในช่วงปลายไตรมาส 4 ทำให้ทั้งปีมีมูลค่าการส่งออกรวม 2.18 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปีก่อน 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หากคิดเป็นเงินบาทจะลดลง 3 แสนกว่าล้านบาท
จากการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) และสรท.พบว่าปัญหาของการส่งออกไทยที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขมีอยู่ 10 เรื่อง ได้แก่ 1.ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รัฐบาลจะต้องหาวิธีที่จะก้าวข้ามโครงการประชานิยมอย่างไร และจะเพิ่มราคาสินค้าเกษตรได้อย่างไร 2.การบริโภคภายในประเทศที่หดตัว รัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงระดับกลาง 3.ปรับโครงสร้างสินค้าส่งออกใหม่ให้ตรงกับการเปลี่ยนไปของตลาดโลก หากสินค้าใดแข่งค่าแรงไม่ได้ก็ต้องส่งเสริมให้ไปลงทุนต่างประเทศ
4.เร่งฉวยโอกาสขณะนี้ที่ญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนนโยบายจากการพึ่งพาการนำเข้าและการเข้าไปลงทุน ในจีน มาซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้นเพราะความ
ขัดแย้งทางการเมืองกับจีน และต้นทุนการผลิตสินค้าในระดับกลางถึงสูงของจีนแพงขึ้น เห็นได้จากในอดีตญี่ปุ่นนำเข้าเสื้อผ้าจากจีนมากถึง 90% แต่ขณะนี้ลดเหลือ 70% ดังนั้นไทยจะต้องแย่งส่วนแบ่ง 30% นี้มาให้ได้มากที่สุด ซึ่งในอนาคตสินค้ากลุ่มอื่นๆ ก็จะย้ายออกจากจีนเช่นกัน ดังนั้นภาครัฐจะต้องมีนโยบายดึงดูดให้เข้ามาลงทุน หรือซื้อสินค้าจากไทยให้ได้5.ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย หรือ IUU อาจทำให้สินค้าในกลุ่มประมงมีปัญหา รัฐบาลต้องวางมาตรการรับมือและจับตาว่าจะส่งผลกระทบกับไทยมากน้อยเพียงไร 6.ปัญหาไม่ผ่านมาตรฐานการบินของ ICAOอาจทำให้ค่าระวางการขนส่งทางอากาศสูงขึ้น และมีพื้นที่ลดลง
7.ปัญหาการค้ามนุษย์ ที่ไทยยังถูกคงที่อันดับเทียร์ 3 อาจส่งผลต่อการส่งออกไปสหรัฐ 8.ภัยแล้งซึ่งแม้ว่าปีนี้ความรุนแรงจะลดลงแต่รัฐบาลจะต้องวางมาตรการแก้ไขในระยะยาว เพราะส่งผลกระทบต่อปริมาณวัตถุดิบภายในประเทศ 9.ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะต้องสมดุลไม่เอียงไปด้านใดมากจนเกินไป รวมทั้งจะต้องเร่งรัดการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ และ 10.การลงทุนขยายฐานการผลิต ที่แม้ว่าจะมีเอกชนเข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเป็นจำนวนมากแต่ยังไม่มีการลงทุนจริง รัฐบาลควรเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็วหากรัฐบาลแก้ไขปัญหาทั้ง 10 ข้อนี้ก็จะทำให้การส่งออกไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี