1 ก.ย.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค.58 เวลา 13.30 น. ผู้บริหารช่องทีวีดิจิตอล 5 ช่อง นำโดย นายเขมทัต พลเดช กรรมการผู้จัดการ ช่องพีพีทีวี, นายสมชาย รังษีธนานนท์ ประธานกรรมการ ช่องไบร์ททีวี, นางสายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่ ช่องจีเอ็มเอ็ม25, นายวัชร วัชรพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ช่องไทยรัฐทีวี และนายบดินทร์ อุดล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ช่องวัน เข้าชี้แจงต่อศาลปกครองกลาง กรณีที่ร่วมกันฟ้องร้อง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และเลขาธิการกสทช. เรื่องเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งมี พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานกสทช. , พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานกรรมการกิจการกระเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) และนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช. เข้ารับฟังการไต่สวน
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อ 24 ส.ค.58 กลุ่มทีวีดิจิตอลทั้ง 5 ช่อง ได้ยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อเรียกค่าเสียหายจากสำนักงาน กสทช. เป็นเงินประมาณ 9,550 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี จากจำนวนเงินดังกล่าว ด้วยเห็นว่า กสทช. ละเว้น และละเลยการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดล่าช้า ในการเปลี่ยนผ่านระบบการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์เป็นระบบดิจิตอล, ละเลยการควบคุม และกำกับดูแลมาตรฐาน หรือคุณภาพของกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล (Set-top box), ละเลยต่อหน้าที่ในการแจกคูปองสนับสนุนประชาชน, ละเลยต่อหน้าที่ในการขยายโครงข่ายส่งสัญญาณ, ละเลยต่อหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และมั่นใจ ในการเปลี่ยน มารับชมทีวีดิจิตอล และละเลยต่อในการออกกฎเกณฑ์ และประกาศต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้มีการแข่งขัน ทางการค้าในการประกอบกิจการ
ด้าน นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช. กล่าวว่า ได้ชี้แจงต่อศาลแล้วว่ากสทช.ทำหน้าที่ตามที่กฏหมายให้กรอบอำนาจมาตลอด และช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีระบบดิจิตอล ซึ่งหลังจากที่มีการชี้แจงในวันนี้จะรับขอเสนอของทางกลุ่มช่องทีวีดิจิตอลเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการ กสทช.เพื่อพิจารณาการดำเนินงานอีกครั้ง ซึ่งเรื่องที่ต้องมีการทบทวนคือ การคิดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปี 2%, การสนับสนุนงบประมาณจัดทำเรตติ้งทีวี และการเลื่อนจ่ายค่าประมูลใบอนุญาตในงวดที่ 3 ออกไป ซึ่งคาดว่า จะสามารถประชุมได้ประมาณวันที่ 16 ก.ย.58 นี้ เนื่องจากศาลอาจนัดไต่สวนอีกครั้งหลังจากนั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องการขอเลื่อนจ่ายค่างวดที่ 3 ออกไปนั้น จะต้องหารือกันอย่างละเอียดเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ได้ขอความคิดเห็นจาก 3 หน่วยงานไปแล้วคือ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเคยให้ความคิดเห็นมาว่าไม่ควรเลื่อนการจ่ายค่างวดออกไป แต่ตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปมีผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและมาฟ้องร้องแล้ว กสทช.จึงต้องทบทวนมติอีกครั้ง
ขณะที่ นายเขมทัต พลเดช กล่าวว่า การชี้แจงของกสทช.ในครั้งนี้ ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการเคยยื่นหนังสือท้วงติงการทำงานของกสทช.ไปหลายครั้งแล้วก่อนจะมาฟ้องที่ศาล ซึ่งกรณีการขอเลื่อนจ่ายค่างวดได้เคยหารือกันมาตั้งแต่งวดที่ 2 แล้ว ซึ่งในงวดที่ 3นี้ที่จะต้องจ่ายในปีหน้า กลุ่มผู้ประกอบการก็ยืนยันว่าควรเลื่อนเพราะได้รับผลกระทบอย่างมากที่ผ่านมา ทั้งนี้หากกสทช.ไม่สามารถจ่ายเป็นจำนวนเลินชดเชยความเสียหายได้ตามที่เคยเสนอ ทางกลุ่มได้เสนอต่อศาลว่า จะสามารถเยียวยาด้วยการขยายระยะเวลาสัญญาใบอนุญาตทีวีดิจิตอลจาก 15 ปี ออกไปเป็น 20 ปีได้หรือไม่ ซึ่งกสทช.ต้องกลับไปทบทวนและให้คำตอบกลับมา
"ทั้งนี้ ตนมองว่า แม้กสทช.จะชี้แจงว่าไม่มีอำนาจในการขยายใบอนุญาต แต่เรื่องนี้ก็สามารถเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วยพิจารณาให้ได้ เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจริง อีกทั้งหากถึงวันที่มีการไต่สวนครั้งหน้า กสทช.ไม่สามารถตอบคำถามในเรื่องนี้ได้ เชิ่อว่าจะมีช่องทีวีดิจิตอลอีกจำนวนมากที่พร้อมจะเดินหน้าสู้เรื่องนี้"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี