กกร.เชื่อแผนอัดฉีดเงินสู่ท้องถิ่นของรัฐบาลช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้ พร้อมชง 8 มาตรการ
ระยะสั้น-ระยะยาว ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ เสริมความแข็งแกร่งระบบเศรษฐกิจยั่งยืน
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทยในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจเดือนกรกฎาคมยังคงมีภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย
ภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งส่วนของการใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนและสินค้าคงทน สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ รวมทั้งภาคส่งออกที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นหลัก
นอกจากนี้ กกร.ยังคงเฝ้าติดตามผลกระทบจากเหตุการณ์ระเบิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม โดยเบื้องต้นเชื่อว่าจะส่งผล
กระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนที่เกิดเหตุการณ์จะลดลงราว 25% จากภาวะปกติ และสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ภายใน 2 เดือน
อย่างไรก็ตาม กกร. ยังคงสนับสนุนนโยบายการวางรากฐานเศรษฐกิจประเทศของรัฐบาล เพื่อสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศนั้น ควรเปิดโอกาสให้มีการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน หรือรูปแบบ PPP และมีความโปร่งใสในการดำเนินโครงการทุกขั้นตอน
ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 1 กันยายน ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นด้วยการอัดเม็ดเงินลงสู่ท้องถิ่น 1.3 แสนล้านบาทนั้น เชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศให้ดีขึ้นได้และคาดว่าจะเห็นผลใน 3 เดือนนี้ แต่ทั้งนี้กกร.ต้องการเสนอมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นซึ่งควรดำเนินการทันที และระยะกลาง 6-12 เดือน เพิ่มเติมให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป
สำหรับมาตรการระยะสั้นมี 4 เรื่อง ได้แก่ 1.การเพิ่มศักยภาพเอสเอ็มอี ด้วยการลดภาษีเงินได้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(SMEs)ที่มีรายได้ไม่เกิน 200ล้านบาท เก็บภาษี 15% จาก 20% รายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาท เก็บภาษี 10% และรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท เก็บภาษี 5% และสนับสนุนให้เอสเอ็มอีมีการจัดทำบัญชีเพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
2.การผลักการค้าชายแดน ที่ประกอบด้วย การกำหนดเป้าหมายการค้าชายแดนที่ 2 ล้านล้านบาทภายในระยะเวลา 2 ปี (ปี 2560) จากปัจจุบันที่มูลค่าการค้าชายแดนอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท รวมถึงการขยายบทบาทหน้าที่ของพาณิชย์จังหวัดเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดน และจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า/SMEs Outlet ในพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพ
3.เสนอให้ตั้งทีมเศรษฐกิจของจังหวัด โดยมีผู้แทนจากกกร.และหน่วยงานราชการ 7 กระทรวงในการกำกับดูแลของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อดูแลเศรษฐกิจจังหวัด โดยเฉพาะในการกระตุ้นให้เกิดการค้าและการลงทุนระดับภูมิภาคมากขึ้น รวมถึงการเร่งรัดการทำงานของคณะกรรมการพัฒนาการส่งออก ให้มีการดำเนินงานที่เป็นรุปธรรม
4.การสร้างกำลังซื้อภายในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ได้แก่ การเร่งรัดการระบายสต๊อกข้าวอย่างน้อย 50% เพื่อที่จะได้เงินหมุนเวียนในระบบและลดค่าใช้จ่ายของรัฐ
ส่วนมาตรการระยะกลาง 6-12 เดือน ได้แก่ 1.การสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเน้นที่สหกรณ์การเกษตรเพื่อสนับสนุนเกษตรกรทั้งด้านการผลิตและการตลาด 2.การปรับวิธีการสรรหาผู้แทนการค้าไทย ºโดยให้กกร.ร่วมจัดสรรหาเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนของประเทศในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี 3.สนับสนุนโครงการ Product Champion เพื่อยกระดับ SMEs ให้มีการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานและเติบโตสู่ตลาดหลักทรัพย์ 4.การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการภาครัฐ โดยสร้างกลไกพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยเน้นเรื่อง Ease of Doing Business/การเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ
“ส่วนกรณีที่มีหลายฝ่ายมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นการดำเนินนโยบายลักษณะประชานิยมนั้น อยากให้มองในแง่ของการนำนโยบายนั้นไปสู่ภาคปฏิบัติที่เม็ดเงินก่อให้เกิดการผลิตและการบริโภคเป็นห่วงโซ่ได้หรือไม่ หากเน้นเฉพาะการ
กระตุ้นเพียงการบริโภคด้านเดียวก็จะเข้าข่ายเป็นประชานิยมมากกว่า แต่หากลงไปสู่ระดับชุมชนเพิ่มขีดความสามารถให้ชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วก็ถือว่าไม่ใช่” นายบุญทักษ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี