ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคส.ค.หัวทิ่ม8เดือนติดต่อกัน-ลุ้นQ4ได้อานิสงส์มาตรการรัฐ
หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงรอบ10ปี
คนไทยหนี้ท่วมหัว ยอดพุ่ง 2.4 แสนบาท/ครัวเรือน ทำสถิติสูงสุดรอบ 10 ปี ซ้ำความสามารถการชำระคืนลดลง ที่น่าห่วงคือต้องกู้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และสัดส่วนหนี้นอกระบบสูงกว่าในระบบ ขณะที่ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังโงหัวไม่ขึ้น เดือนสิงหาคมลดลงอีก เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ต่ำสุดรอบ 15 เดือนเหตุประชาชนยังกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ภาคครัวเรือน ระหว่าง 20-28 สิงหาคม 2558 พบว่า ผลสำรวจ 80.2% มีหนี้ภาคครัวเรือน โดยจำนวนหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 248,004 บาท ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 10 ปี หรือตั้งแต่เริ่มสำรวจในปี 2549 และเพิ่มจากปี 2554 ที่มีหนี้ 159,432.23 บาท หรือเพิ่มขึ้น 13.16% โดยหนี้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 14,033.65 บาท และพบว่า เป็นหนี้นอกระบบถึง 51.3% และหนี้ในระบบ 48.7% และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่ประชาชนเป็นหนี้นอกระบบมากกว่าในระบบ
นอกจากนี้จากผลการสำรวจยังพบด้วยว่า จุดที่น่ากังวลมากที่สุด คือ ประชาชนกู้ยืมมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันถึง 37.1% และกู้เพื่อชำระหนี้นอกระบบ 22.7% นอกจากนี้ยังพบว่า ความสามารถในการชำระหนี้น้อยลง โดยมีผู้ที่ประสบปัญหาการชำระหนี้สูงถึง 87.8% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการสำรวจมา เป็นการสะท้อนว่า ประชาชนกู้ยืมจากแหล่งเงินกู้ เพื่อนำไปชำระหนี้นอกระบบ ทำให้ภาระหนี้ไม่ได้ลดลง โดยส่วนใหญ่หากไม่มีเงินชำระหนี้ ก็ยินยอมให้มีการยึดทรัพย์สิน ส่วนสถานการณ์การออม พบว่า คนมีเงินออมลดลง โดยมีเพียง 32.7% ที่มีเงินออม ส่วนที่เหลือไม่มีเงินออม และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มองว่า ค่าครองชีพที่สูงขึ้น กระทบต่อการดำรงชีวิต
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสะท้อนได้ว่า ประชาชนยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการเติมเงินให้กับผู้มีรายได้น้อยโดยเร็ว ซึ่งวงเงิน 40,000 ล้านบาท ผ่านโครงการซ่อมสร้าง หากลงสู่ระบบได้เร็ว จะช่วยเสริมให้คนในชนบทมีรายได้ ขณะเดียวกันก็จะต้องดูแลราคาสินค้าเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อและเงินในกระเป๋าให้ผู้บริโภค
ขณะเดียวกัน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ยังได้แถลงถึงผลการสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค. 2558 โดยระบุว่า ดัชนีฯอยู่ที่ระดับ 72.3 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และต่ำสุดในรอบ 15 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคยังคงกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดบริเวณสี่แยกราชประสงค์ที่กระทบต่อจิตวิทยาในเชิงลบต่อการท่องเที่ยว การส่งออกที่หดตัว ราคาสินค้าเกษตรที่ทรงตัวในระดับต่ำ โดยเฉพาะ ข้าว ยางพารา และปศุสัตว์ รวมถึงภาวะภัยแล้ง เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อย อีกทั้งผู้บริโภคยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ทั้งนี้แม้จะมีปัจจัยบวก เรื่องการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี(ครม.)ใหม่ โดยให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านเศรษฐกิจ ก็ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นประชาชนไม่มากนักในเดือนนี้แต่ก็ทำให้ประชาชนคาดหวังว่าในอนาคต ครม. ใหม่ จะมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 61.5 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในระดับปานกลาง ถึงแย่ ด้านดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 67.6 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่าโอกาสในการหางานยังไม่ดีมากนัก และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 87.6 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่ารายได้ในอนาคต หรือ 6 เดือนข้างหน้าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แม้จะคาดว่ารายได้ไม่ลดลงจากเดิม แต่ก็ไม่มั่นใจว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น เพราะราคาสินค้าเกษตรยังทรงตัวในระดับต่ำ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยล่าช้า
นายธนวรรธน์กล่าวถึงตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคว่า แม้ว่าในเดือนส.ค.นี้ ดัชนีเกือบทุกตัวจะมีการชะลอตัวลง ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นต่างๆ ดัชนีการซื้อรถยนต์คันใหม่ ดัชนีการซื้อบ้านใหม่ ดัชนีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว ดัชนีการลงทุนทำธุรกิจ ดัชนีความสุขในการดำรงชีวิต แต่ดัชนีภาวะค่าครองชีพ ก็มีการปรับตัวดีขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจไทยว่ามีโอกาสฟื้นตัว การปรับ ครม. ใหม่ มองว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดีขึ้น และทำให้คนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น รวมถึงการที่รัฐจะมีการอัดฉีดงบประมาณที่รัฐบาลเตรียมไว้เข้าระบบอีกกว่า 1.36 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายน้อยโดยตรง จะช่วยทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ทางหอการค้าไทย เตรียมจะมีการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจทั้งปีอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ซึ่งเดิมมองว่าเศรษฐกิจไทย หรือจีดีพีจะขยายตัว 2.5-2.9%เนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้ง นโยบายรัฐ เหตุการณ์ระเบิดที่กระทบต่อการท่องเที่ยวไทยส่งผลให้มูลค่าการใช้จ่ายภาคท่องเที่ยวหายไปประมาณ70,000 ล้านบาทต่อปี การส่งออกที่มูลค่าหายไป
ประมาณ 60,000 ล้านบาทต่อปี และภัยแล้งที่ทำให้มูลค่าเงินในระบบเศรษฐกิจหายไประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาทต่อปี
“ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เศรษฐกิจไทยน่าจะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวได้ กำลังซื้อ การใช้จ่าย และเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นขึ้นได้ รวมถึงจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นให้กลับมาดีได้ด้วย แต่ก็ยังคงฟื้นตัวได้ไม่เด่นมาก เพราะแม้จะมีปัจจัยบวก เช่น นโยบายของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการปรับ ครม.เศรษฐกิจใหม่ แต่ก็มีปัจจัยลบที่ยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอยู่ เช่น การท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ระเบิด ภัยแล้ง และการส่งออก จึงมองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะกลับมาดีขึ้นอย่างเด่นชัดได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 หรือช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี