4 ก.ย.58 พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 ก.ย.58 นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) โดยมีการพิจารณาปรับราคาก๊าซแอลพีจี(หุงต้ม) ประจำเดือนกันยายน ให้สะท้อนราคาตลาดโลก ซึ่งขณะนี้ราคาก๊าซแอลพีจีเดือนนี้อยู่ที่ 334 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งลดลงจากเดือนที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 379 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาแอลพีจีขณะนี้มีความผันผวนแต่ภาพรวมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันราคาขายปลีกอยู่ที่ 22.96 บาทต่อกิโลกกรัม
รวมทั้งจะมีหารือถึงภาพรวมโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV ซึ่งหลักการจะต้องให้สะท้อนกับกลไกตลาดแต่เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกมีการปรับลดลงการจะไปขึ้นสวนทางทันทีอาจทำให้ประชาชนไม่เข้าใจจึงต้องชี้แจงทำความเข้าใจก่อนว่าราคา NGV ปัจจุบันมีการอุดหนุน โดยหลักการนั้นที่สุดจะต้องสะท้อนต้นทุน ส่วนของรถบริการด้านสาธารณะจะยังมีการดูแลในเรื่องราคาต่อไป
"จริงๆ ก็ควรจะค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นให้สะท้อนตามหลักการแต่คงจะต้องหารือก่อนเพราะจะต้องถามหน่วยงานอื่นๆ เพราะขนส่งเองก็ไม่ต้องการขึ้นราคา แต่ผมเองก็เห็นว่าดีเซลลงแต่ก็ไม่เห็นจะลงค่าขนส่งผมเองก็ได้แจ้งเรื่องนี้ไปแล้วว่าดีเซลลงไปมาก" พลเอกอนันตพร กล่าว
อีกทั้งจะมีการหารือแนวคิดที่จะยกเลิกการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 หรือแก๊สโซฮอล์ 95 เนื่องจากประเทศไทยมีน้ำมันหลายประเภทและน้ำมันทั้ง 2 ประเภทมีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน จึงสามารถใช้ทดแทนกันได้ โดยจะเริ่มพิจารณาทะยอยปรับราคาจำหน่ายของน้ำมันทั้ง 2 ประเภทให้ใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ จากนั้นจะหารือผู้มีส่วนได้เสียก่อนพิจารณายกเลิกชนิดใดชนิดหนึ่งต่อไป โดยการประชุมครั้งนี้คาดว่ายังไม่สามารถสรุปได้ ขณะที่น้ำมันดีเซลปัจจุบันมีการปรับลดราคามาหลายครั้งและได้เสนอไปยังกระทรวงคมนาคมให้พิจารณาให้ปรับราคาตามต้นทุนแล้ว
ส่วนกรณีการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ขณะนี้อยู่ระหว่างให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาแก้ไขร่าง พรบ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 เพื่อให้มีความชัดเจนเรื่องรูปแบบการให้สิทธิสำรวจว่าจะใช้ระบบสัมปทานหรือระบบแบ่งปันผลผลิต รวมถึงการจัดเก็บผลประโยชน์เข้ารัฐ ซึ่งเมื่อผ่านความเห็นชอบแล้ว ก็พร้อมที่จะดำเนินการเปิดให้สิทธิสำรวจตามกำหนดการเดิมในเกือนตุลาคมนี้ทันที โดยยอมรับว่า หากการเปิดสัมปทานต้องล่าช้าออกไป หรือการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ภาคใต้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ก็จะกระทบต่อการกำหนดสัดส่วนการใช้พลังงานแต่ละประเภทที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ หรือ พีดีพี 2015
"การจัดหาปิโตรเลียมในปัจจุบันสามารถรองรับความต้องการใช้ภายในประเทศได้เพียง 42% ขณะที่ความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศมีแนวโน้มลดลงในอนาคต ซึ่งภารกิจต่างๆ ดังกล่าว นับเป็นส่วนสำคัญของแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2015) ที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย เช่น การสร้างความเชื่อมั่น และการยอมรับด้านการจัดหาพลังงานจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยทุกกิจกรรมขอให้มุ่งเน้นถึงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ”พลเอกอนันตพรกล่าว
นางพวงทิพย์ ศิลปศาสตร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า การสำรวจปิโตรเลียมรอบใหม่ การบริหารแหล่งก๊าซฯเชฟรอนและบงกชที่จะสิ้นสุดสัมปทานปี 2565-66 ถูกรองรับไว้ในการจัดทำแผน PDP 2015 หากไม่เป็นไปตามแผนก็จะต้องมองว่าจะลดสัดส่วนอย่างไรในการนำไปผลิตไฟฟ้า ซึ่งในการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ขณะนี้คงจะต้องรอกกฏหมายอยู่ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับได้มีการกำหนดระบบแบ่งปันผลผลิตหรือ PSC ในการบริหารจัดการเข้ามาเพิ่มนอกเหนือจากระบบสัมปทาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี