9 ต.ค. 58 เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วยนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายทวีศักดิ์ ก่ออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ (คพน.) ครั้งที่ 4/2558 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธาน ว่าที่ประชุมเห็นชอบการปรับองค์ประกอบคณะอนุกรรมการโดยให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอการพัฒนาระบบนวัตกรรมไทย และคณะอนุกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางแห่งชาติ
นายพิเชฐ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการต่อมาตรการเร่งด่วนการพัฒนาเทคโนโลยีระบบขนส่งทางราง เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เสนอให้ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจัดจ้างจากการประมูลทีละสายเป็น big lot และให้รัฐเป็นผู้กำหนดรายละเอียดด้านเทคนิคแทนผู้ได้สัญญาเดินรถ รวมทั้งบรรจุเงื่อนไขในสัญญากับผู้ประกอบการเดินรถเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือหน่วยงานวิจัยกลางของรัฐ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับกระทรวงคมนาคม เพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า การดำเนินงานในขั้นตอนปฏิบัติให้เริ่มจากการเตรียมความรู้ เตรียมคน จากนั้นค่อยขยายไปสู่การผลิตซึ่งอาจเริ่มจากนำของที่มีอยู่มาดัดแปลงชิ้นส่วน เป็นต้น โดยในการดำเนินการขอให้คำนึงถึงตลาด และควรแสวงหาความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียนด้วย
รมว.วท. กล่าวถึงการสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร และชนบท ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ว่า เพื่อเป็นการลดต้นทุน เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาภัยธรรมชาติ ด้วยความรู้ และแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับความสามารถของเกษตรกรไทย โดยที่ประชุมได้เห็นชอบในโครงการขยายผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน ชนบท ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ระหว่าง 3 กระทรวงได้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) กระทรวงมหาดไทย(มท.) และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติการร่วมกับเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษา
รมว.วท. กล่าวว่า ได้ตั้งเป้าหมายการพัฒนาไว้ที่ให้ได้ 200 ชุมชนทั่วประเทศภายในระยะเวลา 2 ปี เพื่อรองรับการแก้ปัญหาภัยแล้งในอนาคต และยกตัวอย่างว่า เช่นรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อหาพืชชนิดอื่นมาปลูกทดแทน อาทิ การเตรียมเมล็ดพันธ์ถั่วเขียว เพื่อให้เกษตรกรเพาะปลูก ซึ่งโรงงานผลิตวุ้นเส้น พร้อมรับซื้อในราคาที่ดี เป็นต้น ขณะที่สินค้า ต่างๆ ในกลุ่ม 12 คลัสเตอร์ ก็จะมีการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับ สวทช. เช่น การพัฒนาด้านเครื่องมือทางการแพทย์ ที่ได้ราคาสูง และยังเป็นสินค้าส่งออกที่อยู่ในทิศทางดี และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป
รมว.วท. กล่าวถึงการสนับสนุนนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน คณะกรรมการฯ ได้เร่งรัดให้ ขสมก. ดำเนินการเพื่อขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี จากเดิมที่เห็นชอบให้จัดซื้อรถ NGV เป็นจัดซื้อรถไฟฟ้าที่ผลิตในไทยจำนวน 500 คัน ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และสร้างความเข้าใจกับประชาชนเป็นหลัก เพื่อนำร่องให้เกิดกระแสการตื่นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในการผลิตรถอนุรักษ์พลังงานประเภทต่างๆ มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและมาตรฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าด้วย
รมว.วท. กล่าวต่อว่า ในเบื้องต้นจะมีการนำเข้ารถไฟฟ้า มาเพียง 1 คัน เพื่อเป็นตัวอย่างในการศึกษา จากนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จะมีการประกอบชิ้นส่วน เพื่อจัดทำขึ้น ก่อนที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ ครม.พิจารณาต่อไป ขณะเดียวกันก็อยากจะขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษา ที่พัฒนานวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ขึ้นเองยื่นความจำนงขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย โดยดูหลักเกณฑ์ต่างๆ ได้ที่www.innovation.go.th ซึ่งรัฐจะให้สิทธิประโยชน์ในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยวิธีกรณีพิเศษตามรายการในบัญชีนวัตกรรมไทย เนื่องจากรัฐบาลได้มีความพยายามในการสร้างระบบการรวบรวมนวัตกรรมที่ผลิตโดยคนไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี