“อภิศักดิ์” กำชับทุกแบงก์รัฐดำเนินตามพันธกิจ เติมเต็มแหล่งเงินทุน แยกบัญชีการเงินลดความซ้ำซ้อน จัดการปัญหาหนี้เน่าจะได้ทำหน้าที่สนองนโยบายรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องแข่งแบงก์พาณิชย์ ด้าน เอกชน-นายแบงก์ให้คะแนนดี-ดีมาก สำหรับผลงาน 3 เดือนของทีมเศรษฐกิจ พร้อมแนะเร่งพัฒนา เทคโนโลยี 4จี และบอร์ดแบนด์ หนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหารสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ(แบงก์รัฐ) ว่าการประชุมครั้งนี้เพื่อติดตามการดำเนินงานของแบงก์รัฐ และให้ดำเนินกิจการตามพันธกิจของแต่ละแห่งอย่างชัดเจน โดยเข้าเติมเต็มในส่วนที่ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถดำเนินได้ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวว่าได้มอบหมายให้ทุกแบงก์รัฐ เสนอคณะกรรมการธนาคารแต่ละแห่งให้มีการแยกบัญชีผลการดำเนินงานออกเป็น 3 บัญชี ประกอบด้วย บัญชีรวม บัญชีโครงการตามนโยบายรัฐ (พีเอสเอ) และบัญชีผลการดำเนินงานปกติ ทั้งงบการเงิน ผลกำไร และผลขาดทุน ให้มีความชัดเจน เพื่อลดความซ้ำซ้อนทางบัญชีลง รวมถึงให้ทุกแบงก์รัฐเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบที่จะเกิดจากการใช้ระบบอี-เพย์เม้นท์ รวมถึงการเพิ่มความใส่ใจในการยกระบบสถาบันการเงินชุมชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้เป็นหน้าที่โดยตรงของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
“สศค. ได้รายงานฐานะทางการเงินของแบงก์รัฐทั้งหมด ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งแต่จะมีบางแห่งที่ต้องเร่งดำเนินงานตามแผนฟื้นฟู ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนแบงก์ไหนที่แข็งแกร่งแล้วก็ให้ทำงานตามบทบาทของตัวเอง แต่ย้ำว่าต้องไม่ลงไปแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ เพียงแต่เข้าไปรองรับในส่วนที่ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ และให้สนใจในการให้ความรู้ทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น และต้องดูแลเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพื่อให้สามารถสนับสนุนนโยบายของรัฐได้อย่างต่อเนื่อง” นายสมชัย กล่าว
นอกจากนี้ได้สั่งให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) หารือกับแบงกรัฐเพื่อแก้ไขกฎหมายของแต่ละแห่งเนื่องจากกฎหมายที่มีอยู่เดิมดำเนินการมาเป็นเวลานานเช่น การเพิ่มบทบาทของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย(บตท.) และการปรับเปลี่ยนระยะเวลาดำรงตำแหน่งกรรมการของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ให้เป็น 3 ปีจากเดิมอายุเพียง 1 ปี เพื่อให้เหมือนกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่นๆ
ส่วนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) นั้น ได้มอบนโยบายให้มีการเพิ่มบทบาทในการสนับสนุนผู้นำเข้าและส่งออกมากขึ้น เช่น การออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ นอกจากนี้อาจพิจารณาให้ธนาคารออมสินเข้ามาเป็นพี่ใหญ่ในการดูแลสภาพคล่องของแบงก์รัฐแห่งอื่นๆ ที่มีปัญหา รวมถึงให้เร่งดำเนินการในการดูแลปัญหาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันยังมีปัญหาเรื่องนี้อยู่มาก โดยอาจให้เข้ามาดูเรื่องกลไกทางการเงินเพื่อเติมเต็มการเข้าถึงแหล่งเงินของรายย่อย ซึ่งอาจเกี่ยวโยงกับอัตราแลกเปลี่ยนของสถาบันการเงินด้วย
นายสุพันธ์ุ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) ให้ความเห็นถึงผลงานการทำงาน ของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลซึ่งนำโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจในช่วง 3 เดือน ที่ผ่านมาว่า ให้คะแนนดีถึงดีมาก เนื่องจากการทำงานของทีมเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดี โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งการให้เงินทุนสนับสนุน และช่วยหาตลาด พร้อมทั้งยังปรับปรุงโครงสร้างภาษี และออกโรดโชว์ต่างประเทศ สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างประเทศ แต่สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเสริมคือ เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเช่น 4 จี และบรอดแบนด์ เพื่อรองรับการค้าขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ
นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่าการทำงานของทีมเศรษฐกิจมีความชัดเจนในด้านยุทธศาสตร์ต่างๆ ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงการปฏิบัติ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน สิ่งสำคัญที่รัฐต้องดำเนินการคือแก้ช่องว่างกฎหมายระหว่างกฎหมายเทคโนโลยีดิจิตอล กับกฎหมายพาณิชย์ให้สอดคล้องกัน
สำหรับเศรษฐกิจในปี 2559 มองว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นเติบโต 3% จะส่งผลดีต่อการปล่อยสินเชื่อทั้งระบบเติบโตได้ 3-5% ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีจะขยายตัวได้ 5-8% และสินเชื่อบุคคล 5-10% เนื่องจากธนาคารได้ปรับแผนการปล่อยสินเชื่อให้สอดคล้องกับแผนการลงทุนของรัฐบาล และการขับเคลื่อนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาลจะทำให้สินเชื่อของธนาคารไทยพาณิย์จะเติบโตใกล้เคียงกันกับภาพรวมส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ เอ็นพีแอลมีคุณภาพหนี้ดีขึ้น หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ทั้งนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกับสอท.จัดงาน SCB-FTI Outlet ครั้งที่ 12 เพื่อสนับสนุนสินค้าเอสเอ็มอี ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากมองว่าเอสเอ็มอีมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในปีที่ผ่านมาเอสเอ็มอีทั้งหมด 2.74 ล้านรายสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกถึง 1.9 ล้านล้านบาทหรือ 26% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ฉะนั้นการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีให้เข้มแข็งและมีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนให้มากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี