นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยในเดือน ต.ค. 2558 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2558 อยู่ที่ระดับ 84.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 82.8 ในเดือนกันยายน ซึ่งค่าดัชนีฯที่เพิ่มขึ้นเกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิตต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมส่งสัญญาณปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และสูงสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่ มิ.ย. 2558
ทั้งนี้ยอดขายในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าไม่คงทน เนื่องจากในช่วงท้ายปี ผู้ประกอบการต่างจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ รวมทั้งยังได้รับผลดีจากการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ผู้ประกอบการมีความเห็นว่า จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งสามารถสะท้อนได้จากค่าดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 103.4 เพิ่มขึ้นจาก 102.6 ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบ 11 เดือน โดยค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
“ดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากยอดขายมีการปรับเพิ่มขึ้นจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายช่วงท้าย รวมถึงการค้าขายชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผู้ประกอบการมีความเห็นว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการที่มีต่อภาครัฐในเดือน ต.ค.คือต้องการให้ภาครัฐเพิ่มวงเงินสินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs)เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ต้องการให้เร่งแก้ไขปัญหาภัยแล้งและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบด้วย เป็นต้น”
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นจำแนกตามขนาดของของกิจการ ในเดือนตุลาคม 2558 จากการสำรวจพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของอุตสาหกรรมทุกขนาด ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน โดยองค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากยอดรับคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯ รายภูมิภาค ประจำเดือนตุลาคม 2558 พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคใต้ปรับตัวลดลงจากเดือนกันยายน โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลด้านลบต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง (ยอดการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นประกอบด้วย ยางแผ่น ยางแท่ง น้ำยางข้น และยางพาราอื่นๆ ลดลงจากประเทศจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้) อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (คำสั่งซื้อในประเทศลดลง ประกอบกับราคาผลปาล์มดิบลดลง) อุตสาหกรรมโรงเลื่อยและโรงอบไม้ (คำสั่งซื้อไม้ยางพาราแปรรูปลดลง เนื่องจากตลาดหลักอย่างจีนชะลอการสั่งซื้อ ประกอบกับต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการลดกำลังการผลิตลง)
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำแนกตามการส่งออก (ดัชนีความเชื่อมั่นฯ จำแนกตามร้อยละของการส่งออกต่อยอดขาย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศกับกลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ) โดยจากการสำรวจพบว่า ในเดือนตุลาคม 2558 ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ กลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศ และกลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากในเดือนกันยายน
นายสุพันธ์กล่าวว่า เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2558 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก และอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐในเดือนตุลาคม คือ ต้องการให้ภาครัฐเพิ่มวงเงินสินเชื่อแก่ SMEs เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ส่วนด้านการลงทุนต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อเปิดตลาดใหม่และสร้างโอกาสในการแข่งขัน ด้านแรงงาน ต้องการให้มีการส่งเสริมการพัฒนาทักษะและศักยภาพแรงงานไทย ทั้งสายวิทยาศาสตร์ และสายอาชีวศึกษา เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงอยากให้เร่งแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี