คลังฟุ้งมาตรการรัฐเริ่มเห็นผล กระตุ้นเศรษฐกิจไทยเริ่มขยายตัว ชี้เห็นผลชัดเจนไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า เม็ดเงินอัดลงรากหญ้า และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ช่วยให้การบริโภคดีขึ้น ส่วนการก่อสร้างโครงการใหญ่ของรัฐ ช่วยปลุกการลงทุน เผยปี’58 จีดีพีอาจวิ่งถึง 3% สูงกว่าที่เคยประมาณการณ์ไว้ว่าจะขยายได้แค่ 2.8%
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.คาดว่าเศรษฐกิจไทย ปี’58 มีโอกาสขยายตัวได้เกิน 3% มากกว่าที่คาดไว้จะขยายตัวได้ 2.8% เนื่องจากมีหลายมาตรการของรัฐบาลที่ สศค. ยังไม่ได้นำมาประเมินในการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ เช่น มาตรการเร่งให้ภาคเอกชนลงทุน ที่ให้นำรายจ่ายที่ลงทุน ภายในไตรมาสที่ 4 มาหักเป็นรายจ่ายลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า หากมีเอกชนเข้ามาลงทุนจำนวนมาก จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สศค.ประเมินว่า การขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี’58 จะขยายตัวได้ดี จากเงินลงทุนของงบประมาณปี’59 ที่สูงถึง 540,000 ล้านบาท เทียบกับปีงบประมาณที่ผ่านมามี 440,000ล้านบาท โดยเฉพาะมีเงินงบประมาณลงทุนจากมาตรการตำบลละ 5 ล้านบาท เงินจากการลงทุนขนาดเล็ก 16,000 ล้านบาท ที่ต้องเบิกจ่ายให้หมดภายในเดือนธ.ค.นี้
ขณะเดียวกัน ยังมีมาตรการให้หน่วยราชการเบิกจ่ายงบประมาณฝึกอบรมให้ได้ 50% ภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ’59 หรือภายในสิ้นปี’58 โครงการให้เงินลงทุนในโครงการขนาดเล็กให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เคยของบประมาณแล้วไม่ได้ ทางสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณไว้ให้ 24,000 ล้านบาท มีการอนุมัติแล้ว 23,000 ล้านบาท ซึ่งต้องเบิกจ่ายภายในเดือน ธ.ค. เช่นกัน
“เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมานานแล้วตั้งแต่ปี’57 ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 0.9% และเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวได้ 3% ไตรมาส 2 ขยายตัวได้ 2.8% ไตรมาส 3 ขยายตัวได้ 2.9% และไตรมาสสุดท้ายคาดว่ายังขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสขยายตัวได้มากกว่า 3% และจะขยายตัวดีตั้งแต่ไตรมาสแรกปี’59 เป็นต้นไป เพราะมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลออกผลเต็มที่ โดย สศค. คาดว่าเศรษฐกิจปี’59 จะขยายตัวได้ 3.8%”
นายกฤษฎากล่าวอีกว่า การเร่งเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลไตรมาส 4 และตั้งแต่เดือนกันยายน เพื่อช่วยการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปลายปี 2558 และต่อเนื่องปี 2559 ผ่านมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย สินเชื่อผ่านกองทุนหมู่บ้านโดยไม่คิดดอกเบี้ย วงเงินสินเชื่อ 60,000 ล้านบาท ล่าสุดธนาคารออมสินอนุมัติสินเชื่อแล้ว 22,450 ล้านบาท ปล่อยกู้ให้กองทุนหมู่บ้าน 22,492 แห่ง และกองทุนหมู่บ้านให้สินเชื่อกับผู้มีรายได้น้อยแล้ว 1.28 ล้านราย เป็นเงิน 19,158 ล้านบาท ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อนุมัติสินเชื่อแล้ว20,226 ล้านบาท ให้กับกองทุนหมู่บ้าน 20,739 แห่ง และกองทุนหมู่บ้านให้สินเชื่อผู้มีรายได้น้อยแล้ว 1.26 ล้านราย เป็นเงิน 20,226 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล เงินลงทุนตำบลละไม่เกิน 5 ล้านบาท วงเงิน 37,913 ล้านบาท ล่าสุดสำนักงบประมาณทยอยพิจารณาอนุมัติรายละเอียดโครงการและค่าใช้จ่ายประกอบการจัดสรรงบประมาณแล้ว 100,958 โครงการ วงเงินรวม 30,893 ล้านบาท คิดเป็น81.5% ของวงเงินรวม รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาล ลงทุนหน่วยงานละไม่เกิน 1 ล้านบาทกรอบวงเงิน 24,000 ล้านบาท ขณะนี้อนุมัติวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 23,343.4 ล้านบาท ได้รับการจัดสรรแล้ว 55,233 โครงการ วงเงินจัดสรร 22,731 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1,035 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.6 ของวงเงินจัดสรร
ตลอดจนมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ระยะเร่งด่วนผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (Soft Loan SMEs) ดอกเบี้ยร้อยละ 4 ระยะเวลา 7 ปี วงเงินสินเชื่อ 100,000 ล้านบาท ล่าสุดธนาคารออมสินอนุมัติสินเชื่อแล้ว 68,665 ล้านบาท ให้กับลูกค้าเอสเอ็มอี 8,036 ราย และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 ค้ำประกันไม่เกินร้อยละ 30 ต่อพอร์ต วงเงินค้ำประกัน 100,000 ล้านบาท ล่าสุดบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อแล้ว 21,243 ล้านบาท ให้กับเอสเอ็มอี 5,360 ราย
นายกฤษฎากล่าวอีกว่า ส่วนภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนตุลาคม มีปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ และบทบาทนโยบายการคลังผ่านการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวได้ในระดับสูง โดยการบริโภคภาคเอกชนในเดือนตุลาคม 2558 มีปัจจัยบวกจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน มาอยู่ที่ระดับ 62.2 ส่วนหนึ่งเนื่องจากรัฐบาลได้มีการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่จัดเก็บบนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ ขยายตัวได้ที่ 4.8% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่กลับมาหดตัว 4.1% ต่อปี โดยมีผลมาจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บบนฐานการนำเข้า ณ ราคาคงที่ซึ่งหดตัวต่อเนื่องที่ 15.3% ต่อปี
การลงทุนภาคเอกชนในเดือนตุลาคม 2558 มีสัญญาณทรงตัว โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้างสะท้อนจากภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ หดตัวชะลอลง 4.6% และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังหักผลทางฤดูกาลพบว่า ขยายตัวได้ 0.2% ขณะที่ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์หดตัวที่ 0.3% สำหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างหดตัวต่อเนื่องที่ -6.5% สำหรับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนขยายตัว 5.4% ต่อปี อย่างไรก็ตาม เมื่อหักสินค้าพิเศษ (เครื่องบิน เรือ และรถไฟ) พบว่าหดตัว 2.7%
สถานการณ์ด้านการคลังในเดือนตุลาคม 2558 สะท้อนบทบาทนโยบายการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัวในระดับสูงและดุลงบประมาณที่ขาดดุล ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณโดยรวมของรัฐบาลในเดือนตุลาคม 2558 มีจำนวน 374.2 พันล้านบาท ขยายตัว 1.8% โดยรายจ่ายงบประมาณประจำปีปัจจุบันสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 359.6 พันล้านบาท ขยายตัว4.3% สำหรับการจัดเก็บรายได้ รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือนตุลาคม 2558 ได้จำนวน 165.3 พันล้านบาท หดตัว -4.8% ทั้งนี้ ดุลงบประมาณในเดือนตุลาคม 2558 ขาดดุลจำนวน -218.1 พันล้านบาท สะท้อนบทบาทนโยบายการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย
ด้านอุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้าในเดือนตุลาคม 2558 ยังคงหดตัวต่อเนื่องที่ -8.1% จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยเป็นการหดตัวในทุกตลาดส่งออก ยกเว้นฮ่องกง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ที่ยังสามารถขยายตัวได้
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทาน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนตุลาคม 2558 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ระดับ 84.7 จากการที่ยอดคำสั่งซื้อโดยรวมมีทิศทางดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากในช่วงท้ายปีผู้ประกอบการต่างจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี