นายกฯสั่งปลัดทุกกระทรวง เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี’59 ชี้จะเป็นปีที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ ขู่ไม่มีความคืบหน้าก็ต้องมีการลงโทษ สวด “เอ็นจีโอ”ชอบขัดขวาง ด้าน สศค.จ่อถก รมว.คลังบีบออมสิน-ธ.ก.ส. นำกำไรช่วยประชาชนระบุชี้ดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีเฉลี่ย7% ยังสูงไป
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง หรือเทียบเท่าครั้งที่ 1 ปีงบประมาณ’59
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ปลัดทุกกระทรวงเป็นผู้นำนโยบายของรัฐบาลลงไปสู่การปฏิบัติและขับเคลื่อนให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2559 ซึ่งจะเป็นปีที่มีการลงทุนขนาดใหญ่(เมกะโปรเจกท์) ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ รวมทั้งรัฐบาลยังจะมุ่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันรวมถึงช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย
ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายเร่งรัดการทำงานของทุกภาคส่วน ซึ่งจะประเมินตามกรอบระยะเวลาโดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2559 ต้องเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เมื่องบประมาณลงไปต้องคุ้มค่าและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล หากดำเนินการแล้วไม่มีความคืบหน้า ก็ต้องมีการลงโทษ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนโครงการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วปานกลาง อะไรที่ทำได้ก็จะเริ่มทำ ส่วนรถไฟไทย-จีน จำเป็นต้องริเริ่ม โดยหลักการของตนก็คือไทยต้องมีส่วนร่วมในการก่อสร้าง ช่าง วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ และอย่ากังวลว่า เมื่อโครงการเสร็จแล้ว
จีนจะขนส่งสินค้ามาขายให้ไทยอย่างเดียว
“อย่าไปกังวลว่าจะมีของมาขายให้เราเท่านั้น เพราะถ้าเราไม่ซื้อก็ไม่เห็นเป็นอะไร เราก็ต้องขนสินค้าไปหาเขาได้ เพราะรถไฟวิ่งสองทาง แต่ปัญหาคือเราจะมีสินค้าส่งออกไปแข่งกับเขาหรือไม่”
นายกรัฐมนตรียังตำหนิ องค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอ ว่า กลุ่มเอ็นจีโอยังไม่เข้าใจถึงนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาประเทศให้มีความยั่งยืน
“ยังมีกลุ่มเอ็นจีโอ และชาวบ้านบางส่วนขัดขวาง ซึ่งต้องยอมรับว่าการการประกอบอาชีพเกษตรกรอย่างเดียวอยู่ไม่ได้ จึงต้องมีการพัฒนาเกษตรกร และอุตสาหกรรมควบคู่กันไป โดยเฉพาะการสร้างชุมชนเมืองในชนบท เพื่อดูแลให้ประชาชนตามชนบทให้สามารถประกอบอาชีพเพิ่มเติมได้”
นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานและรัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2559 ให้ได้ตามมาตรการเร่งเบิกจ่าย โดยในส่วนของงบลงทุนที่ไม่เกิน 2 ล้านบาท ต้องทำสัญญาและเบิกจ่ายให้ได้ทั้งหมดภายในไตรมาสแรก สำหรับการเบิกจ่ายที่ 2-500 ล้านบาท ให้ทำสัญญาภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ และให้เบิกจ่ายได้ตามงวดที่ทำสัญญา และงบประมาณที่เกิน 500 ล้านบาท ให้ทำสัญญาภายในไตรมาส 2 และให้เบิกจ่ายได้ตามงวด
สำหรับงบประมาณปี 2559 มีวงเงิน2.72 ล้านล้านบาท จนถึงวันที่ 22 พ.ย. 2558 เบิกจ่ายได้ 19.99% ในส่วนของงบลงทุนวงเงิน 540,000 ล้านบาท เบิกจ่ายได้ 5.97% แต่ทำสัญญาผูกพันแล้ว 17% แม้ว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนจะยังต่ำกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่การทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันได้มากกว่าที่คาดไว้
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)เปิดเผยว่า สศค.เตรียมหารือกับนายอภิศักดิ์ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ(แบงก์รัฐ) โดยเฉพาะธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เนื่องจากมีกำไรจากผลประกอบการแต่ละปีจำนวนมาก จึงอยากให้นำส่วนนี้เข้ามาช่วยเหลือประชาชนที่เป็นลูกค้าของธนาคาร เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (เอ็มอาร์อาร์) ที่ปัจจุบันมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ลง หรือมีผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงการบริการของธนาคาร
ทั้งนี้ แนวทางการจัดตั้งแบงก์รัฐ เพราะต้องการให้แบงก์รัฐเข้าไปช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ โดยไม่ควรที่จะมีการดำเนินงานที่มีผลประกอบการหรือกำไรจำนวนมาก เหมือนกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
นอกจากนี้ รมว.คลัง มีความเป็นห่วงเกี่ยวกับภัยแล้ง ปี 2559 โดยสั่งการให้ธนาคารออมสิน และธ.ก.ส.หามาตรการรองรับเพื่อช่วยเหลือประชาชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี