กพช.ยอมถอยหลังเจอเสียงค้านเจรจาเจ้าเก่า ประกาศเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมใหม่ระบุหากไร้ผู้ยื่นประมูล ค่อยเจรจาเชฟรอน-ปตท.สผ.ชี้ประชาชนต้องรับสภาพค่าไฟแพงเพราะต้นทุนเพิ่มอ้างประมูลใช้เวลาเป็นปี ก๊าซเริ่มผลิตลดลงและภายใน 8 ปี จะหายจากระบบ 3 ล้านล้านลบ.ฟุต ต้องนำเข้าแอลเอ็นจีกว่า 40 ล้านตัน มาทดแทน รัฐขาดรายได้ 2.45 แสนล้าน
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ครั้งที่ 2/59 โดยภายหลังประชุม พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน แถลงว่า ที่ประชุมใช้เวลาถกเรื่องเหตุผลการบริหารจัดการสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุปี 2565-2566 ของเชฟรอนและแหล่งบงกชของ บมจ.ปตท.สผ. ใช้เวลานานถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง และได้มีมติว่าเมื่อมีเสียงของประชาชนเรียกร้องคัดค้านการเจรจากับรายเดิม รัฐบาลจึงฟังเสียงภาคประชาชนและมีมติให้ใช้วิธีการเปิดประมูลภายใน 1 ปีนี้ หากประมูลไม่ได้ให้เจรจากับรายเดิม โดยที่ประชุมได้รับทราบว่ากรณีการเปิดประมูลจะใช้เวลายาวนานกว่าการเจรจา และอาจต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีมาทดแทน ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าปรับสูงขึ้น
“หากค่าไฟฟ้าแพงขึ้น เพราะการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมที่หมดอายุ ก็ขอให้ประชาชนรับผิดชอบร่วมกัน เพราะการตัดสินใจของ กพช.ฟังเหตุผลทุกฝ่าย เมื่อมีคนคัดค้านการเจรจา ก็ต้องฟังและมีมตินี้เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ส่วนค่าไฟแพงขึ้นจะกระทบการลงทุนหรือไม่ รัฐบาลก็ต้องหาแนวทางอื่นดึงดูดการลงทุนทั้งด้านของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และมาตรการภาษีอื่นๆ” รมว.พลังงานกล่าว
นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกล่าวว่า แหล่งก๊าซฯ ทั้ง 2 แหล่ง มีกำลังผลิตรวมกัน 2,200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน นับจากรัฐบาลให้เปิดประมูลทางผู้ผลิตคงจะไม่ลงทุน เพื่อรักษากำลังการผลิต ทางกระทรวงประเมินว่าปริมาณก๊าซฯ จะค่อยทยอยลดลงบางช่วงอาจหายไป 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือบางช่วงอาจหายไปทั้งหมด โดยในช่วง 8 ปี นับแต่ปี2561-2568 ก๊าซจะหายไปรวม 3 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตต้องนำเข้าแอลเอ็นจีมาทดแทนประมาณ 40 ล้านตัน กระทบค่าไฟฟ้าเอฟที 85 สตางค์/หน่วย ต้องนำเข้าอีเทนมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเลียม และต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีมาทดแทน รวมมูลค่านับแสนล้านบาทขณะเดียวกันรายได้รัฐจากปิโตรเลียมจะหายไป 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 245,000 ล้านบาท
“ขั้นตอนนับจากนี้ กรม จะต้องเร่งวางแผนการเปิดประมูลพร้อมกับเจรจาเจ้าของสัมปทานรายเดิมให้คงกำลังผลิตมากที่สุด พร้อมกับเจรจากับกระทรวงการคลังแก้ไข พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ให้เจ้าของสัมปทานเดิมนำเงินลงทุนมาหักภาษีเพิ่มและอาจกำหนดให้รายใหม่ที่ได้ประมูลเป็นผู้จ่ายเงินส่วนนี้ นอกจากนี้ ต้องกำหนดแนวทางรื้อแท่นขุดเจาะเดิม โดยรวมแล้วหากได้รายใหม่เข้ามาก็ต้องใช้เวลานานกว่าการเจรจากับรายเดิม” นายวีระศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ มติ กพช.ยังเห็นชอบให้ ปตท.ขยายสถานีรับจ่ายก๊าซแห่งที่ 1 (เทอร์มินอล 1) จาก 10 ล้านตันต่อปี เป็น 11.5 ล้านตันต่อปี เสร็จปี 2662 ให้ ปตท.ศึกษาแผนก่อสร้างเทอร์มินอลที่ 2 ศึกษาการลงทุนทั้งขนาด 5 และ 7.5 ล้านตัน แล้วเสนอ กพช.อีกรอบว่าจะให้สร้างขนาดเท่าใด ให้ก่อสร้างเสร็จปี 2565 นอกจากนี้มอบให้ กฟผ. ศึกษาก่อสร้าง นำเข้าแอลเอ็นจีแบบ FSRUในพื้นที่อ่าวไทยตอนบนปริมาณ 5 ล้านตันต่อปี ให้ศึกษาเสร็จภายใน 3.5 เดือน
“การเร่งแผนนำเข้าแอลเอ็นจีเป็นการรองรับทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อสร้างล่าช้าไม่เป็นไปตามแผน และการที่ก๊าซในประเทศลดลงทั้งจากปัญหาการเปิดให้เอกชนเข้ามายื่นสำรวจปิโตรเลียมรอบ 21 ไม่ได้ และการไม่สามารถบริหารสัมปทานหมดอายุให้เอกชนเข้ามาลงทุนผลิตได้ในปริมาณเดิม” รมว.พลังงาน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี