นายกฯรับลูกนักวิชาการ สั่ง “กสทช” รื้อใบอนุญาตดาวเทียม “ไทยคม 7,8” ใหม่ โดยให้กลับสู่ “ระบบสัมปทาน”เดิมจนกว่าจะหมดอายุปี 2564 หลังพบว่าจ่ายในรูปแบบค่าธรรมเนียม รัฐมีรายได้น้อยลงจี้ “ไอซีที” ไปหารือร่วม “ไทยคม”
ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2559 พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางประชุมร่วมกับ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. และ พันเอกเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.)
อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ไม่มี นายอุตตมสาวนายน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เข้าร่วมประชุมด้วยแต่ก็ได้ส่งตัวแทนเป็นอาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กระทรวงไอซีทีได้จ้างให้ศึกษาแนวทางในการกำกับดูแลและการบริหารงานกิจการอวกาศเข้าประชุมแทน
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช. กล่าวว่า การประชุมดังกล่าวสืบเนื่องมาจากนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความเป็นห่วง 2 เรื่อง คือ แนวทางกำกับดูแลและการบริหารงานกิจการอวกาศ และ เรื่องเงินในกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน USO)
โดยผลของการหารือแนวทางในการกำกับดูแลและการบริหารงานกิจการอวกาศนั้น คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอทางออกเพื่อให้ พล.อ.อ.ประจิน นำเสนอ นายกรัฐมนตรี ภายในวันเดียวกันนี้มในสองแนวทาง คือ
1.ให้ดาวเทียมไทยคม 7 ซึ่งยิงไปเมื่อปี 2555 และเปิดให้บริการปี 2557 และดาวเทียมไทยคม 8 ซึ่งยิงขึ้นสู่วงโคจรไปเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ค. 2559 กลับไปอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานเดิม คือต้องจ่ายค่าสัมปทาน 20.5% ต่อปี ไปจนกว่าจะหมดอายุสัมปทานในปี 2564
ก่อนหน้านี้ พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม 2553 (พ.ร.บ.กสทช.) หรือฉบับเดิม ให้ดาวเทียมอยู่ในระบบสัญญาสัมปทาน มีอายุสัมปทาน 30 ปี คือตั้งแต่ปี 2534-2564 ซึ่งกระทรวงไอซีทีมีหน้าที่ในการเก็บค่าสัมปทานในอัตรา 20.5% ต่อปี และเป็นผู้จองวงโคจรให้ตั้งแต่ต้น แต่ต่อมามีพ.ร.บ.กสทช.ฉบับปัจจุบันกำหนดให้ผู้ประกอบการดาวเทียมจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตแทนในอัตรา 2% ต่อปีและจ่ายเข้ากองทุน USO อัตรา 3.75% ต่อปี จึงทำให้รัฐบาลได้รายได้จากกิจการดาวเทียมน้อยลง
ส่วนแนวทางที่สอง คือ หากดาวเทียม 7,8 หากไม่สามารถอยู่ภายใต้สัมปทานเดิม ให้กระทรวงไอซีทีมีหน้าที่กำหนดเงื่อนไขใหม่โดยทำสัญญาเป็น Deep of Agreement เพื่อกำหนดเงื่อนไขให้จ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น รวมถึงต้องเปิดให้บริการกับภาครัฐด้วยเพื่อให้รัฐได้ผลประโยชน์ไม่น้อยกว่าค่าสัมปทานที่เคยได้รับ โดยกระทรวงไอซีทีจะเป็นผู้นัดผู้ประกอบการดาวเทียมมาหารือร่วมกันว่าจะมีเงื่อนไขอย่างไร ขณะที่ยังคงต้องจ่ายค่าใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมUSO ให้กับ กสทช.ด้วย
โดยหลังจากปี 2564 จะใช้สัญญา Deep ofAgreement เป็นมาตรฐานในการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐด้วย เพื่อให้รัฐมีรายได้ไม่น้อยกว่าการเก็บสัญญาสัมปทาน ซึ่งการยิงดาวเทียมแต่ละครั้งต้องได้รับการยอมรับจากกระทรวงไอซีที ขณะที่การแก้ไข พ.ร.บ.กสทช.ฉบับใหม่ในเนื้อหาเรื่องดาวเทียมนั้น ตนเองได้เสนอให้รัฐบาลยกร่างเป็น พ.ร.บ.ประกอบกิจการอวกาศ ดีกว่าการแก้ไขในพ.ร.บ.กสทช.ฉบับใหม่ เพราะอาจจะแก้ได้เพียง 1-2 มาตราเท่านั้น
ด้านแหล่งข่าวจาก ไทยคม แจ้งว่า ไทยคม มีความเห็นเกี่ยวกับประเด็นข่าวดังกล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นเบื้องต้น และทางไทยคมยินดีให้ความร่วมมือในการเข้าไปชี้แจงและให้ข้อมูลต่างๆ กับหน่วยงานภาครัฐต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาและการกำหนดนโยบายและค่าธรรมเนียม ไทยคมอยากให้ภาครัฐให้ความสำคัญในการพิจารณาประเด็นต่างๆ อย่างรอบด้านและเทียบเคียงกับแนวทางการกำกับดูแลและค่าธรรมเนียมของต่างประเทศด้วย เพราะดาวเทียมไทยต้องออกไปแข่งขันในตลาดต่างประเทศซึ่งในตอนนี้ เฉพาะค่าธรรมเนียมใบอนุญาตของกสทช. ก็สูงกว่าค่าธรรมเนียมของต่างประเทศมากอยู่แล้ว
นอกจากนั้น ก็อยากให้ภาครัฐมีแนวทางที่ชัดเจนในการกำกับให้การแข่งขันในประเทศไทยเองให้มีความเป็นธรรม เพราะในปัจจุบัน มีผู้ให้บริการดาวเทียมต่างชาติ เข้ามาให้บริการในประเทศไทยโดยไม่ได้ขอใบอนุญาต ไม่ได้ถูกกำกับดูแล ไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียม อยากให้ภาครัฐมีแนวทางการกำกับดูแลให้ทุกๆ รายแข่งขันกันได้อย่างเท่าเทียมกันและรัฐจะได้ไม่เสียผลประโยชน์ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี