ครม.ควักเงินอีก 4 หมื่นล้านบาท ช่วยเหลือเกษตรกร ผ่าน 4 โครงการ ทั้งให้เงินช่วยเหลือไร่ละ 1 พันบาทไม่เกิน 10 ไร่/ราย รับภาระดอกเบี้ยจากโครงการพักชำระหนี้ 2 ปี ให้ 50% จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยพืชผลให้ทุกราย ที่ขอสินเชื่อกับ ธ.ก.ส. ลงทุนอีกกว่า 500 ล้านบาท แก้ปัญหาชาวนา ชาวไร่ ยากจน ให้มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในฤดูการผลิตรอบใหม่ ปี 2559/60 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 4 โครงการ เป็นวงเงินที่ให้ความช่วยเหลือรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือต้นทุนการผลิตแก่เกษตรกร อัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ จากเดิมที่กำหนดไม่เกิน 15 ไร่ โดยสาเหตุที่ปรับลดลง เพื่อกระจายให้เกษตรกรรายย่อยเพิ่มมากขึ้น คาดจะได้รับความช่วยเหลือ 3.7 หมื่นราย หรือมีวงเงิน 3.7 หมื่นล้านบาท
สำหรับโครงการที่ 2 คือ การพักชำระหนี้เงินต้นให้เกษตรกรเป็นเวลา 2 ปี ลดดอกเบี้ยรวม 3% เพื่อแบ่งเบาภาระเกษตรกร โดย ธ.ก.ส.จะรับภาระดอกเบี้ยครึ่งหนึ่งและได้เงินชดเชยสนับสนุนจากรัฐบาลอีกครึ่งหนึ่งให้กับลูกค้าธ.ก.ส.ทุกรายที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 แสนบาท คาดจะมีเกษตรกรได้รับ 2 ล้านราย รวมวงเงิน 5,400 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ 3 คือ โครงการอบรมความรู้เชิงปฏิบัติการ เป้าหมายในการช่วยเหลือเกษตรกร 3 แสนราย และจะเพิ่มการอบรมเพื่อให้เป็นเอสเอ็มอีเกษตรกรเพิ่มขึ้นด้วย โดยมีเป้าหมายผลักดัน 1.5 หมื่นราย ให้วงเงิน 258 ล้านบาท
ขณะที่โครงการที่ 4 คือ โครงการประกันภัยนาข้าว เช่น ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม หรือภัยแล้งโดยเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบในการประกันพืชผลในระยะยาว ซึ่งในหลักการ คือ ให้เกษตรกรที่เป็นลูกค้าของธ.ก.ส. จะต้องทำประกันควบคู่ทุกราย ซึ่ง ธ.ก.ส.จะออกค่าเบี้ยให้ 40 บาทต่อไร่ รวมเป็นเงิน 1,200 ล้านบาท จากการคำนวณลูกค้า 1.5 ล้านราย จำนวน 30 ล้านไร่ ส่วนที่เหลือรัฐบาลจะเป็นผู้ดูแล ซึ่งมองว่าการดำเนินการดังกล่าวนั้นจะทำให้เกษตรกรมีความมั่นคง มีหลักประกันในการป้องกันในอนาคต นอกจากนี้หลังจากการทำประกันในเกษตรกรปลูกข้าวแล้วจะขยายไปยังกลุ่มพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ด้วย
“การประกันพืชผลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศที่ทำการเกษตร ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะต้องเตรียมงบประมาณอุดหนุน มีปัญหาก็ต้องมาจ่ายตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่วิธีที่บริหารความเสี่ยงที่ถูกต้อง โดยวิธีนี้ระบบการประกันภัยพืชผลจะเกิดขึ้นได้” นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่าที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบโครงการประกันภัยพืชผลฤดูการผลิตปี 2559/60 นำมาใช้กับเกษตรกรทุกรายที่ขอสินเชื่อกับ ธ.ก.ส. โดเกษตรกรไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกัน ทั้งนี้ คปภ.ได้เจรจากับบริษัทประกันวินาศภัแล้ว จึงได้กำหนดเบี้ยประกันเป็นอัตราเดียวกันทั้งประเทศ ในราคา100 บาทต่อไร่ จากเดิมกำหนดเบี้ยประกันตามพื้นที่ความเสี่ยงตามพื้นที่ ตั้งแต่ 120-483 บาท เพื่อต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบประกัน ธ.ก.ส.จึงจ่ายให้กับลูกค้าของธนาคารในอัตรา 40 บาทต่อไร่ ใช้เงินประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปี ส่วนเบี้ยประกันภัย 60 บาทต่อไร่ รัฐบาลจ่ายอุดหนุนให้กำหนด เป้าหมายพื้นที่ทำนาข้าว 30 ล้านไร่
“หากเกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้ง ภัยธรรมชาติน้ำท่วม พายุ จนทำให้พืชเกษตรได้รับความเสียหาย จะได้รับเงินชดเชย 1,113 บาทต่อไร่ คาดว่าจะมีเกษตรกรเข้าระบบประกันภัยพืชผล เพื่อทำให้เกษตรกรมีความมั่นคง มีหลักประกันในการป้องกันในอนาคต นอกจากนี้หลังจากการทำประกันในเกษตรกรปลูกข้าวแล้วจะขยายไปยังกลุ่มพืชผลทางการเกษตรอื่นเพิ่มเติม”
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ยังมีมติเห็นชอบให้ใช้งบที่เหลือจากโครงการแก้ไขปัญหาเกษตรกรยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน ที่เคยให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินไปรับซื้อที่ดินจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) โดยมีวงเงินเหลือจากที่ดำเนินการ 690 ล้านบาท จึงได้ให้นำวงเงินที่เหลือดังกล่าวไปดำเนิน 5 โครงการ ก่อนจะยกระดับจากสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินเป็นธนาคารที่ดิน
สำหรับ 5 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการศึกษากระบวนการธนาคารที่ดินในต่างประเทศ โดยจะตั้งที่ปรึกษาขึ้นมาเพื่อศึกษาให้เกิดเป็นกรอบในการดำเนินการ 2.โครงการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและผู้ยากจน ที่สูญเสียสิทธิในที่ดินทำกินจากการจำนองและขายฝาก 3.โครงการนำร่อง ธนาคารที่ดิน 5 ชุมชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน และไม่ประกอบอาชีพ 520 ครัวเรือนใน จ.ลำพูน และ จ.เชียงใหม่ 4.ศึกษาโครงการต้นแบบต่างๆว่าจะสามารถจัดสรรที่ดินให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างไร โดยตั้งเป้าในปีนี้ 8 พื้นที่ และอีก 4 พื้นที่ในปี 2560 และ 5.ให้ศึกษาวิจัยข้อมูลต่างๆ ของโครงการ เพื่อยกระดับเป็นธนาคารที่ดินในอนาคต
ด้านนายสุรพงษ์ เจียสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงภาพรวมราคาสินค้าเกษตรซึ่งวัดจากดัชนีราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤษภาคม 2559 พบว่า เพิ่มขึ้น 2.57% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนที่ผ่านมา สินค้าราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ยางพารา สับปะรดโรงงานสุกร และไข่ไก่ โดยข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาสูงขึ้น เนื่องจากผลผลิตลดลงจากเดือนที่ผ่านมายางพารา ราคาปรับตัวสูงขึ้นตามการปรับตัวของราคาน้ำมันและราคาตลาดล่วงหน้า TOCOM สับปะรดโรงงาน ราคาสูงขึ้นจากผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดต่างประเทศ สุกร และไข่ไก่ ราคาสูงขึ้น เพราะความต้องการในช่วงเปิดเทอม สินค้าที่มีราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ลองกอง เงาะ และมังคุดราคาลดลง เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมากกว่าเดือนที่ผ่านมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี