‘ท็อป รีจีนัลแบรนด์’...คือ เป้าหมายใหญ่ของปตท.
สรัญ รังคสิริ
ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย
ปตท.จำกัด (มหาชน)
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เบอร์หนึ่งของธุรกิจพลังงานของไทย ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปี 2559 ออกมาแล้ว โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 24,879 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 5.1% จากไตรมาสแรกที่มีกำไรสุทธิ 23,669 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมงวดครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 48,548 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 4.8%
ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจที่ยังคงสร้างรายได้หลักและกำไรสุทธิให้กับ ปตท.คือ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย และในโอกาสนี้ “แนวหน้า” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ คุณสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท.จำกัด (มหาชน)
คุณสรัญ กล่าวกับ “แนวหน้า” ว่า แม้ว่าสถานการณ์ราคาพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ปตท.ก็ยังสำมารถสร้างรายได้อย่างแข็งแกร่ง เพราะปตท.มีธุรกิจจากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ นอกจากนั้น ปตท. ยังได้ปรับแผนธุรกิจและได้กำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อเติบโตในอนาคตรองรับทิศทางตลาดที่มีลูกค้าจะเป็นศูนย์กลางหลักและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
สำหรับกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายนั้นแน่นอนว่ารายได้และกำไร จะมาจากธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเป็นส่วนใหญ่และปีนี้จะมากกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนโดยคาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 50-60เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้ไม่ต้องบันทึกผลขาดทุนจากการสต๊อกน้ำมันเหมือนปีที่ผ่านมา ขณะที่ราคาขายปลีกในประเทศก็คงจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน
ทั้งนี้เมื่อพูดถึงค้าปลีกน้ำมัน หัวใจสำคัญก็คือสถานีบริการน้ำมัน ดังนั้นจึงต้องทำให้คนเข้ามาใช้บริการในสถานีบริการของเราให้มากที่สุด และกลยุทธ์ “ไลฟ์ สเตชั่น” คือการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ถูกต้อง คือเมื่อลูกค้าเลี้ยวรถเข้ามาใช้เติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท. จะสามารถรับสารพัดบริการที่เรามีไว้ให้ ทั้ง ร้านสะดวกซื้อ 7-eleven, ร้านกาแฟ Amazon, Jiffy, ศูนย์บริการรถยนต์ PRO Check,ร้านอาหาร/เบเกอรี่แบรนด์ดัง หรือแม้กระทั่งการให้บริการทางการเงิน เมื่อลูกค้าเลือกที่จะเข้าปั๊มปตท.เป็นอันดับแรก ก็ทำให้เรายิ่งเดินหน้าตามแผนการขยายปั๊มน้ำมันให้ได้ตามแผนคือ 2 พันแห่งในสิ้นปี 2559 และเมื่อจำนวนปั๊มเพิ่มมากขึ้นรายได้ของปตท.จากธุรกิจค้าปลีกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“สำหรับกลุ่มธุรกิจค้าน้ำมัน ปัจจุบันสัดส่วนของกำไร 80% มาจากการขายน้ำมันสำเร็จรูป ปตท. จึงวางแผนเพิ่มยอดขายสินค้าในประเภทที่ไม่ใช่น้ำมัน (non oil) ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เพราะสินค้าส่วนนี้มีมาร์จิ้นสูงกว่าน้ำมันสำเร็จรูป และตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี พ.ศ 2562 สัดส่วนของกำไรสินค้า non oil จะเติบโตขึ้นให้ถึง 50% ของกำไรจากการขายน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งล่าสุดเซ็นสัญญากับ Texas Chicken และกำลังศึกษาเพื่อเพิ่มสินค้าประเภทอื่น เพิ่มความหลากหลายและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการในปั๊มปตท. โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเพิ่มแฟรนไชส์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยน่าจะมีความชัดเจนเร็วที่สุดต้นปีหน้า ซึ่งจะเป็นสินค้าประเภทแฮมเบอร์เกอร์ และ ไอศกรีม “นายสรัญ กล่าว
คุณสรัญกล่าวอีกว่าอีกเป้าหมายหลักของเราคือ การพัฒนาให้ ปตท.ขึ้นไปถึงระดับ “ท็อป รีจินอล แบรนด์” ของภูมิภาคภาคอาเซียน ซึ่งตอนนี้ปตท.มีธุรกิจอยู่ในหลายประเทศเป้าหมายแล้ว ทั้งฟิลิปปินส์ เมียนมา ลาว กัมพูชา ซึ่งมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูงมาก ยกตัวอย่างประเทศลาว แม้ว่ามีประชากรไม่มาก แต่ยอกขายในสถานีบริการน้ำมันสูงมากมาก รูปแบบสถานีบริการน้ำมันที่เป็นแบบ“ไลฟ์ สเตชั่น” ที่เราไปเปิดที่ลาว ได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมาก
สำหรับประเทศกัมพูชา ก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ ปัจจุบันบริษัท ปตท. (กัมพูชา) จำกัด (PTTCL) เป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ ปตท. และตอนนี้ ปตท. ได้เริ่มขายเฟรนไชส์ร้านคาเฟ่อเมซอนให้กับชาวกัมพูชาแล้วโดยมอบสิทธิ์ในการขาย Franchise Café Amazon ทั้งหมดในประเทศกัมพูชาให้ บริษัท ปตท. (กัมพูชา) จำกัด (PTTCL) เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เนื่องจากในปัจจุบัน การบริโภคกาแฟได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายและมีอัตราการเติบโตที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของชาวกัมพูชา อาทิ คนรุ่นใหม่ คนทำงาน และนักศึกษา ที่เปลี่ยนมาบริโภคเครื่องดื่มชา กาแฟ และออกมานั่งในร้านกาแฟกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกอปรกับกระแสตอบรับอย่างดียิ่งในรสชาติเครื่องดื่ม และบรรยากาศของร้านคาเฟ่อเมซอนในกัมพูชาปตท. จึงเล็งเห็นโอกาสอันดีในการขยายธุรกิจค้าปลีกให้ สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตามถ้าพูดถึงกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย นอกจากค้าปลีกน้ำมันแล้ว ก็ยังมีอีกหลายธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับ
ปตท. เช่น ธุรกิจโรงกลั่น ซึ่งขณะนี้ กำลังปรับแผนการผลิต โดยโรงกลั่นไทยออยล์จะกลั่นน้ำมันเพื่อให้ได้แนฟทา และ บมจ.พีทีทีโกลบอลเคมิคอล หรือพีทีทีจีซี ก็ปรับการผลิตปิโตรเคมีจากการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติมาเป็นแนฟทาทดแทนมากขึ้น
นอกจากนี้ปตท.ยังมองโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ต้อเนื่องด้วย เช่นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ได้แก่ ระบบท่อ คลังก๊าซฯ และน้ำมัน ขยายธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญสู่ต่างประเทศ, ลงทุนในสายโซ่อุปทานของแอลเอ็นจี ที่คาดว่าประเทศไทยจะมีการนำเข้าแอลเอ็นจีมากขึ้นในอนาคต โดยจะร่วมศึกษากับ ปตท.สผ.ผลิตแอลเอ็นจีจากแหล่งปิโตรเลียมต่างประเทศ
“จากก๊าซธรรมชาติที่ลดน้อยลง รวมถึงทิศทางตลาดโลกที่เปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น เช่น รถยนต์มุ่งไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า กลุ่ม ปตท.จึงปรับแผนได้กำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อเติบโตในอนาคตรองรับทิศทางตลาดที่มีลูกค้าจะเป็นศูนย์กลางหลักและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต (Disruptive technologies) โดยจะเสนอแผนที่ชัดเจนปลายปีนี้เน้นเรื่องประสิทธิภาพและนวัตกรรมภายใต้โครงการ “Make It Happen” ประกอบด้วย การดำเนินการที่ทำทันที (Do Now) โอกาสการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ (Decide Now) และ การแสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อความยั่งยืน (Shape Now) กลยุทธ์ที่กลุ่ม ปตท.สามารถดำเนินการได้ทันที คือ การเพิ่มประสิทธิภาพและบริหารค่าใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Productivity Improvement Program) ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งด้านการสร้างรายได้ การลดต้นทุน และการปรับโครงสร้างธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี