สำนักเศรษฐกิจการคลัง ชี้ตลาดส่งออกหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯอาการน่าเป็นห่วง คาดทั้งปีโตได้ไม่ถึงเป้า หลังภาวะเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวยาวไปจนถึงปี 2560 ทำให้คู่ค้าตีกลับสินค้าจากไทยมากขึ้น โดยอ้างไม่ได้มาตรฐาน และทำผิดเงื่อนไข ข้อมูลจาก WTO ระบุ สหรัฐเป็นผู้ที่ใช้มาตรการกีดกันทางการค้ามากที่สุดในโลก
รายงานข่าวจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค. ได้วิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกของไทยไปยังประเทศสหรัฐ หลังสำนักงานส่งเสริมการค้าของไทย ณ นครชิคาโก้ สหรัฐฯคาดว่าแนวโน้มการส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ในช่วง 4 เดือนหลังของปีนี้ จะต่ำกว่าเป้าหมาย และได้ปรับลดเป้าหมายการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ลงเหลือ 1.0% จากเป้าหมายเดิมที่คาดไว้ที่ 2.0% และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปในปี 2560
ทั้งนี้ จากข้อมูลของมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2559 หดตัวแล้วที่ -1.1% จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ประกอบกับการที่สหรัฐฯปฏิเสธสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่ม มากขึ้น เนื่องจากสินค้าของไทยบางรายการตรวจพบว่าไม่ได้มาตรฐานและไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่ทางสหรัฐฯ กำหนด โดยตัวเลขล่าสุด ณ เดือน มิ.ย. 2559 สหรัฐฯ มีการปฏิเสธสินค้าของไทย 37 ครั้ง เพิ่มขึ้นที่ 54.1% จากเดือน พ.ค. 2559 ที่มีการปฏิเสธเพียง 13 ครั้ง
สศค. ระบุว่า ผู้ประกอบการของไทยควรผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน และปฏิบัติตามข้อบังคับการนำเข้า
สินค้าของสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการถูกปฏิเสธการนำเข้าสินค้า และส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของสินค้าไทย รวมถึงส่งผลดีต่อภาพรวมการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ให้สดใสได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม สศค. คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2559 จะขยายตัวที่ 2.2% จากการคาดการณ์ล่าสุดเมื่อเดือน ก.ค. 2559 โดยภาพรวมการส่งออกของไทยยังติดลบ 1.9%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานสถานการณ์ทางการค้าระหว่างประเทศว่า ขณะนี้ประเทศคู่ค้าของไทยได้มีการนำมาตรการทางการค้าในรูปแบบต่างๆ มาใช้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการนำประเด็นเรื่องความปลอดภัยของอาหาร สุขอนามัย สิ่งแวดล้อม และแรงงาน มาเป็นเงื่อนไข หากไม่ปฏิบัติตามให้ถูกต้องก็จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังประเทศนั้นๆ
ทั้งนี้ตลาดหลักของสินค้าส่งออกไทยที่เริ่มใช้มาตรการทางการค้า ได้แก่ สหรัฐฯ ซึ่งได้ปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยทางด้านอาหาร เช่น กฎระเบียบควบคุมเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอาหารเพื่อการบริโภค กฎระเบียบป้องกันการปนเปื้อนในอาหารสัตว์ กฎระเบียบมาตรฐานความปลอดภัยการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว บรรจุและเก็บรักษาในการผลิตเพื่อการบริโภค โดยมีบังคับใช้แล้วเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา และการกำหนดให้ประเทศผู้ส่งออกต้องยื่นรายชื่อบริษัท และเอกสารการเพาะเลี้ยงและแปรรูปปลา มีผล 1 มี.ค. 2559-1 ก.ย. 2560 การกำหนดการติดฉลากสำหรับสูตรอาหารทารก มีผลบังคับ 22 มิ.ย. 2559 การห้ามใช้เม็ดไมโครบิดส์พลาสติกเป็นส่วนประกอบในโฟมล้างหน้า ครีมอาบน้ำและครีมขัดผิว ห้ามผลิต 1 ก.ค. 2560 และห้ามจำหน่าย 1 ก.ค. 2561 และการไม่อนุญาตให้ใช้สาร Partially Hydrogenated Oil : PHOs ในผลิตภัณฑ์อาหาร มีผลวันที่ 18 มิ.ย. 2561
ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์การการค้าโลก (WTO) ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2559 พบว่า ในช่วงปี 2558 ที่ผ่านมา มาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ในส่วนมาตรการอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (TBT) มีจำนวนมากถึง 21,181 มาตรการ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 53.20% ซึ่งเป็นการนำข้อกำหนดด้านเทคนิคและมาตรฐานต่างๆ เช่น บรรจุหีบห่อ การทำเครื่องหมาย และการปิดฉลาก และมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช(SPS) จำนวน 14,123 มาตรการ เพิ่มขึ้น 35.47% เป็นการนำเรื่องการควบคุมสินค้าเกษตรและอาหาร ไม่ให้เกิดโทษต่อชีวิต และหรือผลเสียต่อสุขภาพของชีวิตมนุษย์ พืช และสัตว์
สำหรับประเทศที่มีการใช้มาตรการสูงสุด เช่น สหรัฐฯ มีการใช้มาตรการ TBT สูงถึง 153 มาตรการ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีเพียง 96 มาตรการ และมีการใช้มาตรการ SPS 53 มาตรการ สหภาพยุโรป ใช้มาตรการ TBT จำนวน 77 มาตรการ ลดลงจาก 82 มาตรการในปีที่ผ่านมา และ SPS จำนวน 27 มาตรการ ลดลงจาก 77 มาตรการ และประเทศญี่ปุ่น TBT 36 มาตรการ เพิ่มขึ้นจาก 27 มาตรการ และ SPS 42 มาตรการ ลดลงจาก 62 มาตรการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี