อันดับความสามารถการแข่งขันของไทยร่วงจากอันดับ 32 มาอยู่ที่อันดับ 34 ของโลก ส่วนที่ 1 ยังคงเป็นของสวิตเซอร์แลนด์ WEF แนะไทยให้ความสำคัญนวัตกรรมเป็นพิเศษ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ช่วยให้ก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ด้าน “สมคิด” มั่นใจปีหน้าอันดับดีขึ้น หลังไทยเร่งลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการของ WEF (World Economic Forum) ได้จัดเผยแพร่รายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก (Global Competitiveness Index: GCI) ประจำปี 2016 ซึ่งเปรียบเทียบความสามารถการแข่งขันของ 138 ประเทศทั่วโลก ในปีนี้ประเทศที่ได้อันดับ 1-10 คือ สวิตเซอร์แลนด์ ตามมาด้วย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ฮ่องกง และฟินแลนด์ ตามลำดับ โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 34 โดยมีคะแนน 4.6 จากคะแนนเต็ม 7 คะแนน
นายพสุ เดชะรินทร์ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยเปิดเผยว่าภาพรวมขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ปี พ.ศ. 2559-2560 อยู่ในอันดับที่ 34 ของโลก อันดับลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ อันดับ 32 โดยมีคะแนน 4.6 เท่ากันจากคะแนนเต็ม 7 คะแนน
ปีนี้ประเทศในกลุ่มอาเซียนหลักๆ อันดับตกลง ยกเว้นสิงคโปร์ หากเทียบเชิงคะแนนประเทศไทยคะแนนคงที่ที่ 4.64 ส่วนประเทศที่เลื่อนอันดับขึ้นมาแทนที่ประเทศไทยคือ ประเทศชิลี อันดับ 33 กับสเปน 32 โดยประเทศที่อันดับดีขึ้นที่เหลือ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย จากอันดับ 23 เป็นอันดับ 19 ประเทศอิสราเอล จากอันดับ 27 ขึ้นมาเป็นอันดับ 24 ประเทศไอซ์แลนด์ จากอันดับ 29 ขึ้นเป็นอันดับ 27
อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจมหภาคของไทยอันดับดีขึ้น จากอันดับที่ 27 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 13 ของโลก ทั้งนี้ นักธุรกิจมองประเทศไทยว่า ปัญหาในการทำธุรกิจในเรื่องการคอร์รัปชั่นลดลง ศักยภาพของรัฐบาลก็ดีขึ้น
สำหรับภาพรวมขีดความสามารถทางการแข่งขันกลุ่มประเทศในเอเชีย ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 10 ไม่เปลี่ยนแปลง อันดับหนึ่งคือ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง นิวซีแลนด์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมา
ส่วนประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม ASEAN + 3 ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับไทยเป็นอย่างสูงนั้น ผลปรากฏว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับในลำดับที่ 6 เมื่อเทียบกับกลุ่ม ASEAN+3 ทั้งหมด โดยเป็นรองประเทศ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ และ จีน โดยดัชนีชี้วัดของไทยที่โดดเด่นในกรณีนี้ ประกอบไปด้วย ความน่าดึงดูดใจของทรัพย์สินทางธรรมชาติ ที่ได้รับอันดับที่หนึ่งเมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN+3
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญของรัฐบาลที่มีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเดินทาง ที่ได้รับอันดับ 2 เป็นรองเพียงประเทศสิงคโปร์เท่านั้น นับว่าสร้างความโดดเด่นให้กับธุรกิจท่องเที่ยวของไทยอย่างสูง ตามมาด้วย การใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Extent of Virtual Social Networks Use) ที่ได้รับอันดับที่ 2 เป็นรองเพียงประเทศสิงคโปร์เช่นกัน
อีกทั้ง ในแง่ของความแข็งแกร่งของธนาคาร และ การเข้าถึงตลาดทุนภายในประเทศ (Local Capital Market Access) ได้รับอันดับ 3 เป็นรองเพียงประเทศ สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น เท่านั้น รวมถึงปัจจัยทางการด้านการตลาด (Extent of Marketing) และ ประสิทธิผลในการใช้การตลาดและแบรนด์ดิ้ง (Effectiveness of Marketing and Branding) ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว
ได้รับอันดับที่ 3 เช่นกันทั้งสองประเด็น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศใน ASEAN+3 นับว่าเป็นการสะท้อนศักยภาพของประเทศไทยด้านความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจทั้งทางด้านการเงินและการตลาดในเวที ASEAN+3 ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ WEF มีข้อแนะนำประเทศไทยในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศรวมทั้งการก้าวพ้น กับดักประเทศรายได้ปานกลางคือต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของนวัตกรรมเป็นพิเศษ นอกจากนี้เพื่อเตรียมรองรับต่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมยุค 4.0 ประเทศจะต้องให้ความสำคัญกับทักษะของบุคลากรที่จำเป็นสำหรับอนาคตการพัฒนาของภาคธุรกิจ และความสามารถทางด้านนวัตกรรม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นว่าถึงแม้อันดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยตกลงมา 2 อันดับ แต่ประเทศเพื่อนบ้านตกมากกว่า โดยประเทศมาเลเซียตกลงไป 7 อันดับ ฟิลิปปินส์ตกลงไป 10 อันดับ อินโดนีเซียและเวียดนามตกลงไป 4 อันดับ และลาวตกลงไป 10 อันดับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูรายละเอียดของการจัดอันดับ พบว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยเพิ่มขึ้น 10 อันดับ จากอันดับที่ 27 มาอยู่ที่ 13 ด้านนวัตกรรมก็อันดับดีขึ้น ด้านการศึกษายังไม่ดีขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลรู้ปัญหาและแก้ไขอยู่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
สำหรับเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย อันดับยังไม่ปรับตัวดีขึ้น เพราะช่วงการสำรวจการลงทุนของไทยยังล่าช้าอยู่ เชื่อว่าการจัดอันดับปีหน้าอันดับจะดีขึ้นอย่างแน่นอน จากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านคมนาคมขนส่ง และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี