นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(เงินเฟ้อ) เดือนพฤศจิกายน 2559 อยู่ที่ 106.79 ลดลง 0.06% จากเดือนต.ค. อยู่ที่ 106.85 มาจากหมวดพาหนะ ขนส่งและการสื่อสาร ลดลง 0.23% หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ราคาลดลง 0.04% หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ลดลง 0.02% ขณะที่หมวดเครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า ราคาปรับสูงขึ้น 0.01% และหมวดเคหสถานสูงขึ้น 0.04%
ทั้งนี้หากเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 0.60% เพิ่มขึ้นสูงสุดรอบ 23 เดือน เนื่องจาก ได้รับผลกระทบหลักจากหมวดยาสูบและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 12.94% หมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์สูงขึ้น 1.49% หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้น 0.58% หมวดการบันเทิง สูงขึ้น 0.49% หมวดพาหนะขนส่งและการสื่อสาร สูงขึ้น 0.46% หมวดเครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า สูงขึ้น 0.19% ขณะที่ราคาสินค้าและบริการในหมวดเคหสถานลดลง 1.16%
“อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นตามการปรับตัวของราคาอาหารสด อาทิ ผักสด ไข่ไก่ เนื้อสุกร ที่ระดับราคาสูงขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน โดยคาดการณ์ว่าในช่วงที่เหลือของปีอัตราเงินเฟ้อจะขยายเล็กน้อยจากการใช้จ่ายของครัวเรือนตามมาตรการกระตุ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่”
สำหรับตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป 11 เดือนสูงขึ้น 0.10% ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบคาดการณ์ที่ 0.0-1.0% โดยได้รับอิทธิพลมาจากการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการ ในหมวดยาสูบและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 11.96% หมวดอาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.63% หมวดบันเทิง การอ่าน การศึกษาและศาสนา สูงขึ้น 0.82% หมวดการตรวจรักษาและบริการ ส่วนบุคคล สูงขึ้น 0.82% หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้น 0.42%
ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน เดือนพ.ย. อยู่ที่ 106.89 เพิ่มขึ้น จากเดือนก่อนหน้า ที่ 0.03% แต่ถ้าหากเทียบจากปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 0.72% ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน 11 เดือน อยู่ที่ 0.74% โดยปีนี้เรายังกรอบเงินเฟ้อไว้ที่ 0-1%
นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวอีกว่า สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีหน้า คาดขยายตัวที่ 1.5-2% ต่อปี โดยสมมุติฐานการขยายตัวเศรษฐกิจประเทศไทย จะขยายตัวที่ 3-3.5% ถือว่าขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีปัจจัยสนับสนุน เช่น การใช้จ่ายครัวเรือน การผลิตและรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้น การใช้จ่ายและการลงทุนโครงการภาครัฐ การขนส่งสินค้าและบริการสูงขึ้น ซึ่งมีทิศทางเป็นบวกที่จะสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจในภาพรวม
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ ยังประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบปี’60 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีนี้ โดยคาดว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะสูงขึ้นประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้อุปสงค์และอุปทานในตลาดน้ำมันโลก มีความสมดุลมากขึ้น จากการควบคุมกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกทำให้ความผันผวนของราคาลดลง ทำให้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ในช่วง 45-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนปี’60 คาดการณ์จะอยู่ในกรอบ 35.50-37.50 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่ายังมีแนวโน้มอ่อนค่าจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายในประเทศ
“ส่วนกรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลต่อเงินเฟ้อในปีหน้าเพิ่มสูงขึ้น 0.2-0.35% โดยค่าแรงจะมีการปรับขึ้นเฉลี่ย 3-10% ซึ่งแต่ละจังหวัดก็จะมีการปรับไม่เท่ากัน เป็นประเด็นและปัจจัยสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด” นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี