นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการเศรษฐกิจมหภาค Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB กล่าวว่าการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2561 เป็นการแข็งค่าต่อเนื่องจากปีก่อนคาดว่าปีนี้เงินบาทจะอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐซึ่งเชื่อว่าภาคเอกชนปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้วเพราะเห็นแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง แต่ที่กังวลคืออาจกระทบต่อการกำหนดราคาส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา และข้าว เพราะประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนามส่งออกสินค้าเหมือนกับไทย หากเทียบเงินบาทกับเงินดองเวียดนามแข็งค่าถึง 10% และหากเทียบกับเงินหยวนของจีน เงินบาทแข็งค่ากว่า 5% ทำให้ความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าเกษตรของผู้ส่งออกไทยลดลง
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเงินบาทที่แข็งค่าไม่กระทบต่อตัวเลขการส่งออกปีนี้ซึ่งคาดว่าขยายตัว 5% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวดี มีความต้องการสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2561 จะเติบโต 4% เท่ากับปี 2560 นอกจากนี้การลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว หลังจากหดตัวในช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้คาดว่าจะขยายตัว 3% เปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและภาครัฐหนุนการลงทุนในอีอีซี
นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะขยายตัว 7.9% จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทย 38 ล้านคน หลังจากพ้นช่วงไว้อาลัย และไทยพ้นโทษแบนจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ส่วนการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว โดยมีแนวโน้มดีขึ้นบางกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้มีรายได้สูง และกลุ่มผู้ซื้อรถคันแรกที่ทยอยหมดภาระการผ่อนที่จะช่วยให้สินค้าและบริการที่เจาะกลุ่มชนชั้นกลางยังคงขยายตัวได้ คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะเติบโต 3% การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัว 2.5% ตามเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าจะทรงตัว 1.5% เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ยังเติบโตไม่ทั่วถึง ประกอบกับเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามราคาน้ำมันและราคาสินค้า คาดว่าเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.1%
ความเสี่ยงหลักปี 2561 คือราคาสินค้าเกษตรทรงตัวอยู่ในระดับต่ำจากผลผลิตที่ออกมามากจะกระทบกับรายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่ เป็นการซ้ำเติมต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ได้ฟื้นตัว การขาดแคลนแรงงานทั้งแรงงานต่างด้าวและแรงงานทักษะขั้นสูง ความเสี่ยงนี้เป็นปัจจัยสำคัญอาจทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของการลงทุนสะดุดลงได้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีโอกาสส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ และสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกจะเริ่มลดน้อยลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และอีกหลายประเทศเริ่มลดการอัดฉีดเม็ดเงินและปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะกระทบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลงได้
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองทิศทางค่าเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.00-32.30
ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 32.23 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ก่อนโดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2557 ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 400 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรมากถึง 3.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับ
เงินยูโรและเงินเยน ได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ที่สูงขึ้น ท่ามกลางคาดการณ์ที่ว่า เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ ประเมินว่าระยะสั้นเงินบาทจะผันผวนตามการเคลื่อนย้ายของกระแสเงินลงทุน
นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศ หรือสภาผู้ส่งออกฯกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2561 เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 0.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ กระทบกำไรผู้ส่งออกในรูปเงินบาทลดลง สภาผู้ส่งออกฯ จะหารือธปท. ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อสอบถามถึงสาเหตุซึ่งเอกชนมองว่าอาจเป็นผลมาจากเงินร้อนที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร จึงอยากให้ธปท.ใช้มาตรการดูแลค่าเงินบาทให้เข้มข้นเพื่อไม่ให้ผู้ส่งออกเดือดร้อนหากเงินบาทแข็งมากกว่านี้อาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“มองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมน่าจะประมาณ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันแข็งค่าเกินไปอยู่ที่ 32.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากเทียบกับเงินสกุลภูมิภาคเงินบาทไทยแข็งค่ามากกว่าทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งวันที่ 9 มกราคมนี้ จะประเมินผลกระทบอีกครั้ง”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี