นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย หรือ KAsset กล่าวว่าบริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปี 2561 โดยปัจจัยขับเคลื่อนมาจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งนอกเหนือไปจากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ยังคงมีทิศทางที่ดีแล้ว เราคาดว่าการบริโภคและการลงทุนจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งได้แรงสนับสนุนมาจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลเพื่อเชื่อมโยงระบบคมนาคมของประเทศที่ได้มีการประมูลไปในปีก่อนหน้า ตลอดจนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เริ่มมีความคืบหน้า ทำให้นักลงทุนต่างชาติรวมถึงภาคเอกชนมีความความมั่นใจต่อการลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% เนื่องจากสภาพคล่องในระบบยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปีมีความเป็นไปได้ที่ธปท.อาจมีการทบทวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้หากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐมีการปรับขึ้นเร็วและแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ รวมถึงปัจจัยที่ผู้ลงทุนจะต้องติดตามในช่วงครึ่งปีหลังคือ ความกังวลเรื่องสภาพคล่องในระบบของโลกที่จะเริ่มลดลงในปีถัดไป หากเป็นไปตามกำหนดจะเห็นว่าในปีหน้าธนาคารกลางยุโรป(ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเริ่มถอนสภาพคล่องออกจากตลาดเช่นเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐ
บริษัทมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปี 2561 อยู่ที่ระดับ 1,850 จุด บนปัจจัยพื้นฐานที่ระดับ P/E ปี 2561 ที่ประมาณ 16.5 เท่า จากการประมาณการอัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ในปีนี้ที่ 10% และผลตอบแทนจากเงินปันผลอีกประมาณ 3% ธีมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้บริษัทยังคงเน้นกลยุทธ์การลงทุนโดยการคัดเลือกหุ้น (Stock Selection) ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐที่เน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและการสนับสนุนการลงทุนผ่านโครงการ EEC อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงแรม เป็นต้น
นางสาวธิดาศิริ กล่าวอีกว่าบริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้น 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560-31 มกราคม 2561 ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE) ในอัตรา 0.55 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดรวงข้าว 2 (RKF2) ในอัตรา 0.80 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดรวงข้าว 4 (RKF4) ในอัตรา 0.46 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 มกราคม 2561 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 305.92 ล้านบาท
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในครั้งนี้ นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า กองทุน K-VALUE นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 23 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 10.12 บาทต่อหน่วย, กองทุน RKF2นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน มีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 27 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 20.64 บาทต่อหน่วย ด้านกองทุน RKF4 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน มีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 22 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 9.53 บาทต่อหน่วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี