นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย เปิดเผยว่าในปี 2561 กลุ่มธนาคารจะได้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย การลงทุน การบริโภคที่คาดว่าจะดีที่สุดในรอบหลายปี ส่งผลให้เกิดความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่ากำไรโดยรวมจะฟื้นตัวขึ้น 11% ในปี 2561 เทียบกับการเติบโตของตลาดที่ 5.4%
ทั้งนี้คาดว่า ในปี 2561 ระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)จะปรับลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 2560 ที่ 3.73% เหลือ 3.64%ทำให้กลุ่มธนาคารที่เคยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเรื่อง NPLมาตลอด 3 ปี จะผ่อนคลายมากขึ้น
นอกจากนั้น กลุ่มธนาคารได้ประโยชน์จากสินเชื่อที่เติบโตแข็งแกร่ง รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่โตขึ้น ซึ่งมีแรงหนุนมาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อรัฐและสินเชื่อรายย่อย คาดการเติบโตของสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้นเป็น 6% ในปี 2561
ในส่วนของการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐจากความกังวลเรื่องดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ เราประเมินว่าเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้นเท่านั้นยังไม่มีสัญญาณของการเกิดวิกฤติขนาดใหญ่ โดยระดับดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ยังอยู่ใกล้เคียงกับเงินเฟ้อ ขณะที่เงินเฟ้อที่ถูกผลักดันด้วย Cost Push และ Demand pull พร้อมๆ กัน ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในบริเวณที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า GDP ซึ่งทั้งหมดเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าความเสี่ยงที่กระแสเงินโลกยังมีความผันผวนจากความกังวลในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ แต่คาดว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจะมีจำกัด เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศไม่ได้ถือครองหุ้นไทยมาก
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์นักลงทุนต่างชาติขายมา 7 วัน ติดต่อกันสะสม 28,700 ล้านบาท ถือว่าเป็นปริมาณการขายรายเดือนที่สูงที่สุดในรอบ 14 เดือน และเป็นการขาย 5 เดือนติดต่อกันรวมเป็นยอดขาย 69,700 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดสะสมตั้งแต่ปี 2552 และปัจจุบันยังเป็นการขายสุทธิ 1,750,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้ถึงจุดต่ำสุดที่ระดับขายสุทธิ 208,000 ล้านบาท ณ เดือน กุมภาพันธ์ 2559 และคาดว่าการขายจะเริ่มเบาลงและพลิกกลับเป็นซื้อสุทธิในไม่ช้านี้
เนื่องจากสถิติตั้งแต่ปี 2552 นักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อสุทธิในเดือนมีนาคมทุกปี ด้วยมูลค่าเฉลี่ย 17,000 ล้านบาท จึงมองว่าเดือนมีนาคมนี้ จะเป็นตัวชี้วัดว่าตลาดหุ้นไทยจะไปต่อได้หรือไม่ เพราะมีประเด็นที่ต้องติดตาม คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้ง และจะเป็นการดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราประเมินดัชนีหุ้นไทยในเดือนมีนาคมไว้ที่ 1,820-1,840 จุด จากทั้งปี 1,850 จุด คาดว่าจะทำให้สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยราว 35% ของมูลค่าตลาด จากปัจจุบันที่ 32%
อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่ากลุ่มธนาคารจะเป็นกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเชื่อว่าสภาพคล่องส่วนเพิ่มจะเข้าหากลุ่มธนาคาร และธนาคารขนาดใหญ่มอง BBL KTB เป็นตัวเด่น นอกจากนี้กลุ่มค้าปลีกยังเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อขาขึ้นอีกด้วย เลือก CPALL HMPRO ROBINSเป็นตัวเด่น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี